ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2212 ไข้สูงไม่ลดลง
บทที่ 2212 ไข้สูงไม่ลดลง
กรมพิธีการรีบตอบทันทีว่า “ข้าน้อยจะพยายามอย่างถึงที่สุด”
หลังจากนั้นขุนนางคนอื่น ๆ ก็เริ่มรายงานสถานการณ์ ซูเทียนซื่อนั่งอยู่ด้านบนคอยฟังอย่างตั้งใจ
ซูห้าวยังไม่ได้คิดคำตอบของคำถามเมื่อครู่ พอเห็นว่าฝ่าบาทไม่ซักไซ้ต่อเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
ขณะเดียวกันขันทีฉีก็เข้าไปหาฝ่าบาทและกระซิบกระซาบเสียงเบาอยู่ข้างกาย พูดไปได้ไม่กี่คำ สีหน้าของฝ่าบาทก็เปลี่ยนไป ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนกลับเป็นปกติ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบจะมองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทไม่ฟังรายงานของขุนนางใหญ่แต่หันไปกระซิบกระซาบที่ข้างหูของขันทีฉี เหตุการณ์เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง
ขันทีฉีพยักหน้าไม่หยุด หลังจากพูดจบแล้วก็ถอยหลังจากไป
ซูห้าวยืนก้มหน้า วันนี้แต่ละคนทำตัวแปลกประหลาดจนน่าสงสัย!
รถม้ากำลังวิ่งอย่างรวดเร็วอยู่บนถนน บนรถมีร่างคนผู้หนึ่งกำลังโดยสารไปด้วย ทั่วทั้งร่างสวมชุดปักลายมังกรห้ากรงเล็บดูหรูหรา กวานสีทองที่ถูกสวมไว้บนศีรษะสอดรับกับเสื้อผ้า ทำให้เจ้าของร่างตอนนี้งดงามเกินคำบรรยาย
อาโย่วรายงานสิ่งที่ตัวเองรู้อย่างละเอียด “วันนี้คุณหนูตื่นตั้งแต่เช้า นางมีไข้สูงมากเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้ หลังจากกินยาลดไข้ที่หมอสั่งแล้ว ไข้ก็ไม่ลดลงเลย แถมยังตัวร้อนมากขึ้นอีก พอพวกหมอเห็นเข้าเขาก็กลัวจนบอกว่า…”
“บอกว่าอะไร?” ผู้ที่นั่งหลังเหยียดตรงถามขึ้น ใบหน้าของเขายังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่หากพิจารณาให้ละเอียด ก็จะเห็นว่าปลายนิ้วของอีกฝ่ายกำลังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เขากำลังหวาดกลัว เป็นความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน!
“เขาบอกว่าเขาไม่เคยเห็นคนป่วยที่ตัวร้อนมากขนาดนี้มาก่อน และยังบอกอีกว่าหากความร้อนในตัวคุณหนูไม่ลดลงภายในครึ่งชั่วยาม เกรงว่า…” อาโย่วทนไม่ไหวเมื่อเห็นสายตาของเจ้านายที่มองมา ท้ายที่สุดเขาก็เอ่ย “บางทีคุณหนูอาจจะทนพิษไข้ไม่ไหว และไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้!”
ไม่ว่าจะพยายามพูดยังไงก็ฟังดูโหดร้าย แต่ว่าอาโย่วจำเป็นต้องพูด
คิ้วของฉินเย่จือขมวดขึ้นมาทันที น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวถูกย้อมไปด้วยกลุ่มหมอกมืดครึ้ม เย็นยะเยือก เขาเม้มริมฝีปากแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง ชายหนุ่มวางมือทั้งสองแนบลำตัวพร้อมกำหมัดแน่น บรรยากาศเย็นยะเยือกคละคลุ้งอยู่ในรถม้าอันหรูหรา ความเจ็บปวดและความกังวลฉายชัดผ่านดวงตาฉินเย่จือ
เจ้านายไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน!
แม้แต่ตอนอยู่ในสนามรบที่มีกองทัพข้าศึกนับหมื่นโหมกระหน่ำเข้ามาดุจกระแสน้ำ เขาก็ไม่แม้แต่จะกะพริบตาหรือหวาดกลัว
แต่ว่าตอนนี้เพื่อกู้เสี่ยวหวานแล้ว อีกฝ่ายหวาดกลัว! จนยอมเสียมารยาท!
อาโย่วทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เขาหันไปสั่งคนขับรถม้าด้านนอกว่า “เร็วกว่านี้อีก!”
เร็วกว่านี้อีกหน่อย
ตอนที่เขาได้ยินข่าวว่าหวานเอ๋อร์มีไข้สูงไม่ลดลงเลยตั้งแต่เช้า มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหัวใจของเขาเกือบจะหลุดออกมาจากอก
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้อีกครั้ง เขารู้สึกราวกับว่ามีคนเอากริชอาบยาพิษมาแทงเข้าที่หน้าอกเต็มแรง มิหนำซ้ำยังใช้กริชเล่มนั้นคว้านไปทั่วหัวใจของเขาอีกด้วย!
ฉินเย่จือเดินเข้าไปในตำหนักอ๋องโดยไม่หยุดพัก ระหว่างที่เดินไปก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วย จากนั้นก็แอบออกมาจากทางลับของตำหนัก
คนที่คอยสะกดรอยตามฉินเย่จือหายไปทันทีเมื่อเห็นว่าเขาเข้าไปในตำหนักอ๋องมีองครักษ์ลับที่เบื้องบนสั่งให้ติดตามอีกฝ่ายอยู่ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องตามไปอีก
แม้ฉินเย่จือจะค่อนข้างคล่องแคล่วปราดเปรียว แต่องครักษ์ลับก็ยังพบร่องรอยของเขาและบอกอาโย่ว
ในสวนชิง กู้เสี่ยวหวานนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าแดงก่ำ โค่วตันและกู้ฟางสี่ที่อยู่ด้านข้างกำลังวุ่นอยู่กับการเปลี่ยนและซักผ้าเช็ดหน้า แม้จะวางผ้าเช็ดหน้าลงไปบนร่างคนป่วยไม่นานแต่มันก็ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว โค่วตันสัมผัสกับหน้าผากของกู้เสี่ยวหวานเข้าโดยไม่ตั้งใจ เขาอดตกตะลึงไม่ได้เมื่อพบว่าความร้อนที่แผ่ออกมาจากคนป่วยนั้นสูงมาก
“เกิดอะไรขึ้น? กินยาไปตั้งหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว เหตุใดไข้จึงยังไม่ลดลง แถมยังตัวร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ อีก? หรือว่ายาของเจ้าจะไร้ประโยชน์?” อาจั่วซักถามอยู่ด้านข้าง
หมอที่เชิญมาจากโรงหมอนั้นเป็นหมอที่ดีที่สุด หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า โค่วไห่ก็เชิญหมอมาอีกหลายคน ทุกคนต่างก็บอกว่าเป็นไข้สูง ยาที่สั่งก็เป็นยาชนิดเดียวกับหมอคนแรก แต่พอกินเข้าไป นอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้ว อาการกลับทรุดลงเรื่อย ๆ อีก
ร่างกายคุณหนูร้อนลวกราวกับเหล็กร้อน ก่อนหน้านี้กู้ฟางสี่เคยเห็นพวกชาวบ้านที่ไข้ไม่ลดจนสุดท้ายกลายเป็นคนไม่ปกติหรือไม่ก็ตายไปเลย พอต้องมาเห็นกู้เสี่ยวหวานเป็นไข้สูงไม่ยอมลดลง ทั้งยังอาการหนักขึ้นแบบนี้ นางก็กลัวจนมือสั่น!
นาง โค่วตัน และกู้เสี่ยวอี้อยู่กันสามคน กู้ฟางสี่รับผิดชอบเรื่องเช็ดตัว และใช้น้ำอุ่นทำให้ความร้อนในกายกู้เสี่ยวหวานลดลง โค่วตันรับผิดชอบเรื่องผ้าเช็ดหน้าที่นำไปวางบนหน้าผากและคอยป้อนน้ำอุ่นทีละเล็กทีละน้อยเข้าไปในปากกู้เสี่ยวหวานเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำและร้อนเกินไป
ส่วนกู้เสี่ยวอี้คอยใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดตามขาและเท้าของคนป่วยอยู่ตลอด เมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ระอุอยู่ทั่วร่าง กู้ฟางสี่และกู้เสี่ยวอี้ก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป พวกนางร้องไห้คร่ำครวญขณะที่เช็ดตัวคนป่วยไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดกลัวว่าเสียงของตนจะรบกวนการพักผ่อนของกู้เสี่ยวหวาน พวกนางจึงกัดริมฝีปากและปล่อยให้น้ำตาหยดลงบนผิวที่เปลือยเปล่าของคนที่นอนไม่ได้สติเงียบ ๆ
น้ำตาหยดลงมาไม่นานก็แห้งหายไป
น้ำอุ่นอ่างแล้วอ่างเล่าถูกส่งเข้ามา ใช้เวลาไม่นานก็ร้อนลวกยิ่งกว่าน้ำที่เพิ่งส่งเข้ามาตอนแรกเสียอีก
“ข้า… ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน เห็นอยู่ว่าองค์หญิงนาง… นางเป็นไข้สูง!”
“ใช่แล้ว ร่างกายนางอ่อนแอ หน้าแดงก่ำ เวียนหัวตาลาย กล้ามเนื้อเมื่อยล้า ทั้งหมดล้วนเป็นอาการที่เกิดจากพิษไข้ พวกเราเอายาลดไข้ให้นางกินแล้ว แต่ว่า… พวกเราก็ไม่รู้ว่าเหตุใดไข้ขององค์หญิงถึงยังไม่ลดลงเลย!” หมอที่ถูกโค่วไห่เชิญมาแต่ละคนต่างก็หน้านิ่วคิ้วขมวด
พวกเขาเองเคยเห็นคนป่วยที่เป็นไข้สูงมาไม่น้อย และที่ผ่านมายาของพวกเขาก็ใช้ได้ผล เหตุใดอยู่ดี ๆ จึงใช้ไม่ได้ผลขึ้นมาเสียเล่า อีกทั้งยังทำให้คนป่วยตัวร้อนมากขึ้นอีก
“ไร้ประโยชน์!” อาจั่วพูดด้วยความโกรธ เดิมทีนางเป็นองครักษ์ลับและ สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา เพิ่งมาเก็บซ่อนความดุร้ายของตนก็ตอนมารับใช้ข้างกายกู้เสี่ยวหวาน พอตอนนี้ร้อนใจ ความดุร้ายที่เคยถูกกดไว้จึงแผ่กระจายขึ้นมาอีกครั้ง
พอเห็นว่าตอนนี้ชีวิตของผู้เป็นนายแขวนอยู่บนเส้นด้าย อาจั่วก็อกสั่นขวัญหายจนเผลอแผ่รัศมีอันตรายออกมาทั่วร่าง ทำเอาหมอหลายคนหวาดกลัวจนแข้งขาอ่อนแล้วคุกเข่าลงกับพื้น
ในขณะที่อาจั่วกำลังจะไปตามหมอคนใหม่ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากด้านนอก พริบตาเดียวร่างสูงใหญ่ที่หล่อเหลาก็พุ่งเข้าไปในห้องราวกับถูกสายลมกระโชกหอบมา
ชายเสื้อของอาจั่วเลิกขึ้น
หมอหลายคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นที่เห็นฉากนี้เข้าก็สบตากันโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาไม่ได้ตาฝาดใช่รึไม่? เมื่อครู่นี้มีคนวิ่งเข้าไปแล้ว!
แต่ว่าความเร็วขนาดนั้นไม่มากเกินไปหรือ?