ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2213 นางไม่ได้ร้อนจากภายใน
บทที่ 2213 นางไม่ได้ร้อนจากภายใน
พออาจั่วเห็นว่านายท่านมาถึงก็มีที่พึ่งทันที นางแวบเข้าไปในห้อง ระหว่างเดินก็รายงานสถานการณ์ของกู้เสี่ยวหวานในตอนนี้ไปด้วย
ฉินเย่จือเดินเข้าไปในห้องรวดเร็วดุจสายลม เขาเห็นว่าคนที่ยังดี ๆ อยู่เมื่อคืน ตอนนี้นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่าหากลมพัดเบา ๆ อีกฝ่ายก็จะปลิวหายไปง่าย ๆ
คิ้วของกู้เสี่ยวหวานไม่ได้เรียวดั่งใบหลิวเหมือนสตรีทั่วไป นางไม่ชอบคิ้วที่เรียวโค้งเช่นนั้น คิ้วของนางหนาและยาวมาก แม้แต่ปลายคิ้วก็ยังดกดำอย่างเห็นได้ชัด จมูกเล็ก ๆ โค้งมนได้รูป ริมฝีปากที่เคยเจือสีชมพู บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเพราะไข้ขึ้นสูง
ใบหน้าที่มีเลือดฝาดของนางแตกต่างจากคนทั่วไป เครื่องหน้าของกู้เสี่ยวหวานเหมือนเดิมทุกอย่าง พูดให้ถูกคือตอนนี้อีกฝ่ายงดงามขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก ไม่สิ มันเย้ายวนมากขึ้น
หางคิ้วเฉียงขึ้นบนใบหน้ารูปไข่ขนาดเท่าฝ่ามือ ไม่รู้ว่าดวงตาที่ปิดสนิทนั้นเมื่อลืมขึ้นจะงดงามขนาดไหน
เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือมาถึง ทุกคนก็ไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด เสียงของเขาแหบแห้ง “เจ้าลุกขึ้นมา!”
โค่วตันรีบลุกขึ้น เขาเห็นฉินเย่จือนั่งอยู่ข้างเตียงกำลังเช็ดหน้าผากและลำคอของกู้เสี่ยวหวานด้วยตัวเองอย่างระมัดระวัง
กู้ฟางสี่เงยหน้าเหลือบตามอง นางรู้สึกเหมือนคนหัวใจแตกสลาย
ฉินเย่จือเม้มริมฝีปากแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรงอยู่ตลอดเวลา ดวงตาของเขาไม่ละจากกู้เสี่ยวหวานแม้เพียงชั่วขณะ มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดกังวลใจ
ตัวกู้เสี่ยวหวานยังคงร้อนและไม่มีวี่แววว่าไข้จะลดลงเลยแม้แต่น้อย
“หมอหลวงเล่า? หมอหลวงมาแล้วหรือยัง?” ฉินเย่จือลดเสียงลง ถามด้วยเสียงสั่นเครือ
อาจั่วเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเจ้านายมาก่อนเสียที่ไหน จึงรีบพูดว่า “สั่งให้คนนำพระราชโองการขององค์หญิงไปเชิญหมอในวังหลวงมาแล้ว”
ฉินเย่จือพยักหน้า จิตใจของเขาในตอนนี้วุ่นวายสับสน เขาแทบจะไปพาคนจากสำนักหมอหลวงมาด้วยตัวเองแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างนอกว่า “ท่านหมอหลวงห่าวเหลียนมาแล้ว”
ฉินเย่จือรีบลุกขึ้นและถอยไปด้านข้าง ขณะที่โค่วตันรีบก้าวเข้ามาและรับผ้าขนหนูในมือของเขา
ส่วนกู้ฟางสี่ก็รีบเอาผ้าห่มมาคลุมกู้เสี่ยวหวานไว้ โดยไม่ได้สังเกตการกระทำของฉินเย่จือ
เมื่อหมอหลวงห่าวเหลียนมาถึงก็ไม่มีพิธีรีตองมากนัก เขารีบจับชีพจรของกู้เสี่ยวหวานทันที
ร่างทั้งร่างของกู้เสี่ยวหวานร้อนผ่าว ไข้ยังคงไม่ลดลง มิหนำซ้ำยังรุนแรงมากขึ้น หมอหลวงห่าวเหลียนจับชีพจรแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
ชีพจรของนางเหมือนคนปกติ ชีพจรมั่นคงปกติทุกอย่าง!
หมอหลวงห่าวเหลียนขมวดคิ้ว หลังจากจับชีพจรเสร็จก็ลุกขึ้น กู้ฟางสี่เห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยดี จึงรีบถามว่า “เป็นอย่างไรท่านหมอหลวง? องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ชีพจรขององค์หญิงมั่นคงปกติและไม่มีปัญหาอย่างอื่น…”
“เช่นนั้นเหตุใดจึงตัวร้อนขนาดนี้ ร่างกายของนางราวกับถูกไฟเผา ร้อนลวกจนน่ากลัว!” กู้ฟางสี่รีบถามด้วยสีหน้าที่กังวล
“ท่านหมอหลวงห่าว หมอที่อยู่ด้านนอกบอกว่าองค์หญิงมีไข้ จึงได้สั่งยาลดไข้และนางก็กินเข้าไปแล้ว แต่ผ่านมาแล้วหนึ่งชั่วยาม ความร้อนก็ยังไม่ลดลงเลย มากไปกว่านั้นยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีก ท่านเป็นหมอในวังหลวง รักษาฝ่าบาทและฮองเฮาด้วยตัวเอง ข้าขอร้องล่ะ ท่านช่วยตรวจดูองค์หญิงให้ดีเถอะ!” อาจั่วพูดอย่างรีบร้อนและคุกเข่าลงตรงหน้าหมอหลวงห่าวเหลียนเสียงดังตุ้บ!
หมอหลวงห่าวเหลียนรีบเอื้อมมือไปประคอง “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นชีพจรเช่นนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าชีพจรนั้นปกติ แต่เหตุใดร่างกายจึงยังร้อนเล่า? เจ้าดูนางสิ… หน้าแดง ริมฝีปากแดง ถ้าหากเป็นคนที่มีไข้สูง ริมฝีปากจะต้องซีด แห้งแตก และมีสีหน้าซีดเซียว ลักษณะขององค์หญิงดูเหมือนคนตัวร้อนแต่ไม่ได้เป็นไข้!”
“ตัวร้อน?”
“ใช่ เหมือนกับเวลาพวกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง ผิวของเราจะขึ้นสีแดง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ความร้อนจากภายใน แต่เป็นความร้อนจากภายนอก!” หมอหลวงห่าวเหลียนอธิบาย
หากหมอที่อยู่ด้านนอกสั่งยาลดไข้แล้วยังใช้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าความร้อนนี้ไม่ได้ออกมาจากร่างกาย
ฉินเย่จือที่ซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลมได้ยินคำพูดนี้ก็กำหมัดและขมวดคิ้วแน่น
“ร่างกายของนางปกติมากไม่มีปัญหา ส่วนเหตุใดจึงร้อนลวกเช่นนี้ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเช่นกัน” หมอหลวงห่าวเหลียนขมวดคิ้วพูด
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? รบกวนท่านหมอหลวงสั่งยาหน่อยเถิด ถ้าหากยังปล่อยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสมองของนางจะระเบิดไปเสียก่อน!” กู้ฟางสี่พูดอย่างเคร่งเครียด
หมอหลวงห่าวเหลียนส่ายหัว “ข้าไม่แนะนำให้ใช้ยา พวกเจ้าลองใช้น้ำดีกว่า ให้นางแช่น้ำดูว่าความร้อนบนร่างกายจะลดลงหรือไม่”
ความร้อนเช่นนี้เขาก็ไม่เคยพบมาก่อน ร่างกายปกติดีและไม่เห็นว่ามีตรงไหนที่ป่วย แต่อุณหภูมิกลับสูงตลอดจนทำอะไรไม่ถูก
คำพูดของหมอหลวงห่าวเหลียนเป็นทางออกอีกทางหนึ่ง โค่วตันและโค่วไห่จึงรีบไปเตรียมน้ำทันที
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วงและน้ำในบ่อจึงเย็นมาก แต่โค่วตันและโค่วไห่ก็ไม่กล้าใช้น้ำบ่ออย่างเดียว พวกเขาตักน้ำร้อนขึ้นมาครึ่งถังเพื่อผสมจนเป็นน้ำอุ่นและเติมลงในถังอาบน้ำ
คนที่เหลือออกไปหมดแล้วเหลือเพียงอาจั่วและกู้ฟางสี่ หลังจากที่หมอหลวงห่าวเหลียนออกไปแล้ว ฉินเย่จือก็เดินออกมาจากฉากบังลม
พอเห็นอาจั่วกำลังอุ้มกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็ขัดพลางพูดว่า “ข้าเอง!”
พูดจบเขาก็อุ้มกู้เสี่ยวหวานลงไปในถังอาบน้ำ ตอนนี้นางหมดสติจึงทำได้เพียงพิงถังอาบน้ำ โดยมีคนอยู่จำนวนหนึ่งคอยช่วยประคองเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างนางลื่นลงไป
กู้เสี่ยวหวานต้องถอดเสื้อผ้า ฉินเย่จือจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบออกไป ดังนั้นในห้องเล็ก ๆ ที่ใช้สำหรับอาบน้ำจึงเหลือเพียงอาจั่วและกู้ฟางสี่สองคนเท่านั้น
“ท่านอา ท่านประคองคุณหนูไว้ ข้าจะช่วยนางถอดเสื้อผ้าเอง!” อาจั่วพูด
กู้ฟางสี่พยักหน้าและคอยประคองกู้เสี่ยวหวานไว้ด้านข้าง อาจั่วปลดเข็มขัดที่อยู่บนร่างผู้เป็นนายออก จากนั้นก็เริ่มถอดเสื้อผ้า ตอนที่ปลดชุดไปด้านหลัง นางก็รู้สึกเหมือนมีแสงสีแดงประหลาดสว่างวาบขึ้นในน้ำ อาจั่วรีบเพ่งมองลงไปยังน้ำที่ใสบริสุทธิ์ นางเห็นว่าแผ่นหลังที่ขาวราวกับหยกของกู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะมีเลือดออก
นางจึงอุทานว่า “ท่านอาประคองคุณหนูขึ้นมา!”
กู้ฟางสี่ได้ยินเสียงอุทานของอาจั่วก็รู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงประคองกู้เสี่ยวหวานขึ้นมาอย่างเร่งรีบ นางตระหนกและตกใจเกินไปกับคำพูดของอาจั่ว จึงประมาทและไม่เอามือรองร่างกู้เสี่ยวหวานไว้
เสียงโครมดังขึ้น กู้เสี่ยวหวานลื่นลงไปในถังน้ำ อาจั่วตกใจมากและช้อนร่างนางขึ้นมาในคราวเดียว