ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2216 ความโกรธ
บทที่ 2216 ความโกรธ
ครั้นเห็นท่าทางบุ่มบ่ามของหลานชาย กู้ฟางสี่จึงคว้าตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว “เหตุใดต้องวิ่งเร็วเช่นนี้ ตอนนี้พี่สาวเจ้ากำลังพักผ่อนอยู่ พี่ใหญ่ฉินของเจ้าก็เฝ้านางอยู่ด้านใน เกรงว่าเจ้าเข้าไปตอนนี้คงจะไม่ดี?”
“พี่ใหญ่ฉินกลับมาแล้วหรือขอรับ?” กู้หนิงอันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“ใช่ เขากลับมาแล้ว! พอได้ยินว่าพี่สาวของเจ้าป่วย เขาก็รีบกลับมาทันที!” กู้ฟางสี่พยักหน้า
“เขาไม่ได้บอกว่าไปดูร้านอาหารที่เมืองหลินหรอกหรือ เหตุใดถึงกลับมาเร็วนัก” กู้หนิงอันถามด้วยความสงสัย
เรื่องฉินเย่จือไปเมืองหลินนั้นเป็นเรื่องโกหกของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ หากแต่ไม่ได้บอกกู้เสี่ยวหวานว่าเรื่องอะไร และกู้เสี่ยวหวานเองก็ไม่เคยถาม เช่นเดียวกับตัวตนที่แท้จริงของเขา
ทุกคนย่อมมีความลับเป็นของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าความลับนั้นจะทำลายคนอื่นหรือไม่ ฉินเย่จือไม่เคยทำร้ายนาง และนางก็เชื่อมั่นในตัวเขามาก ดังนั้นนางจึงเต็มใจที่จะช่วยเขาปลอบโยนคนรอบข้าง
ดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงอย่างช้า ๆ
……
ซูห้าวยืนนิ่งอยู่หน้าห้องหนังสือของฮ่องเต้ จนตอนนี้ขาเขาเริ่มชา ริมฝีปากเริ่มแห้งผาก เขายืนอยู่บริเวณทางเดินของห้องหนังสือ และกวาดสายตามองรอบ ๆ
อาณาจักรต้าชิงอันกว้างใหญ่ไพศาลที่มืดลง มีเพียงแสงไฟจากบ้านเรือนนับพันหลังเท่านั้นที่ยังสว่างไสว ทำให้สีหน้าของซูห้าวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
โคมไฟที่แขวนอยู่บริเวณทางเดินทำให้เห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
เขารออยู่ที่นี่ตั้งแต่ออกมาจากท้องพระโรง
ซูเทียนซื่อตรัสว่ามีเรื่องสำคัญต้องการคุยกับตัวเอง ดังนั้นจึงให้เขารออยู่ด้านนอกห้องหนังสือ แต่ตอนนี้เขายืนรอมาแทบจะทั้งวันแล้ว! แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้เสียงประตูบานหนาถูกผลักเปิดออกจนส่งเสียงดังลั่นเอี๊ยดอ๊าด พร้อมกับร่างใครคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน ก่อนจะเห็นว่าคนผู้นั้นคือขันฉี
ซูห้าวโกรธจัด เขาเตรียมก้าวไปข้างหน้าเพื่อตำหนิทันที แต่ขันทีฉีก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋อง ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่!”
ครั้นซูห้าวได้ยินเช่นนั้น ความโกรธเอ่อท้นอยู่ในใจ “ทำไมข้ามาอยู่ตรงนี้งั้นเหรอ ไม่ใช่เพราะหลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ฝ่ายทรงรับสั่งว่าอยากคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวและบอกให้ข้าอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
ครั้นขันฉีได้ยินเช่นนั้น ก็ตระหนักได้ทันทีว่า “โอ้ ท่านอ๋องคงไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่นานแล้วใช่หรือไม่! โอ๊ย ให้ตายเถอะ กระหม่อมสมควรตายจริง ๆ! กระหม่อนมัวแต่ปรนนิบัติฮ่องเต้จนลืมไปเสียสนิทเลยว่าท่านอ๋องรออยู่ที่นี่!”
ซูห้าวกำหมัดแน่น พยายามระงับอารมณ์โกรธ สองเท้าก้าวไปทางห้องหนังสือโดยไม่สนใจขันทีฉี
“ท่านอ๋อง ท่านต้องการทำอะไร?” ขันฉีรีบห้ามเขาไว้ฉับไว
“เข้าเฝ้าฮ่องเต้!” ซูห้าวโกรธจัด
“ท่านอ๋อง ต้องขออภัยจริง ๆ ฮ่องเต้มีฎีกามากมายที่ต้องจัดการให้เสร็จภายในวันนี้ ต้องขออภัยท่านด้วยจริงๆ”
“ขออภัยหรือ?” ซูห้าวจ้องขันทีฉีเขม็ง “หมายความว่าอย่างไร? ข้าเข้าไปไม่ได้หรือ?”
“ท่านอ๋อง ฮ่องเต้กำลังตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ตั้งแต่กลับมาฝ่าบาทก็ทรงยุ่งมาก!”
ซูห้าวมองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าและกัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว “ฮ่องเต้จักการฎีกาเสร็จสิ้นแล้วหรือยัง? ตอนนี้ก็ดึกมาแล้ว ข้าสามารถเข้าไปได้หรือยัง?”
หลังจากพูดจบ ก็เตรียมผลักขันทีฉีให้พ้นทาง แต่ขันทีฉีเบี่ยงตัวหลบได้รวดเร็ว “ต้องขออภัยท่านอ๋องด้วยจริง ๆ ตอนนี้ถึงเวลาพักผ่อนของฝ่าบาทแล้ว เกรงว่าตอนนี้คงเข้าบรรทมได้แล้ว!”
ดวงตาของซูห้าวเบิกกว้าง ตนยืนรอจนขาแข็ง แต่เขากลับหลับไปแล้วเนี่ยนะ!
มันไม่สมเหตุสมผลเลย!
ความโกรธบนใบหน้าของซูห้าวดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น ขันทีฉีรีบก้มตัวและพูดว่า “ท่านอ๋อง ต้องขออภัยจริง ๆ วันนี้ฮ่องเต้เหนื่อยมาก จึงเป็นสาเหตุให้ละเลยท่านอ๋องไป โปรดท่านอ๋องให้อภัย”
ซูห้าวพ่นลมจากปากด้วยความไม่พอใจ เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองขันทีฉีด้วยสายตาแข็งกร้าว จากนั้นหมุนกายจากไป
“ขันทีเวรเอ้ย…” การจัดการของขันทีทำให้เขาเสียหน้าอย่างมาก แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันสถบเสียงแผ่ว
ฮ่องเต้น้อยผู้นี้กล้าที่จะทำให้ตัวเองขายหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร!
ขันทีฉีมองแผ่นหลังอีกฝ่ายก่อนจะเห็นเขาเดินกระโผลกกระเผลกลงบันได้อย่างยากลำบาก ทันใดนั้นก็รุดขึ้นหน้าสองก้าวและพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอให้ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัยและไม่จำเป็นต้องรีบร้อน พรุ่งนี้ท่านไม่มีอะไรต้องทำก็พักผ่อนให้เพียงพอล่ะ ตอนนี้ก็มืดแล้วท่านเดินระวังด้วยล่ะ!”
ถ้าคำพูดเหล่านี้ออกมาจากใจของขันทีฉี ซูห้าวอาจจะเชื่อสนิทใจ เขาต้องถ่ายทอดคำพูดนี้มาจากฮ่องเต้แน่นอน
พรุ่งนี้เขาก็จะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ความจริงแล้วมันต้องเป็นงานแต่งของลูกสาวตนเอง แต่ตอนนี้…
จวนหมิงอ๋องได้กลายเป็นตัวตลกของต้าชิง
หมิงตูจวิ้นจู่ถูกปฏิเสธจนเขายอมสละทุกสิ่งมากกว่าการอยู่กับนาง
ช่างน่าอัปยศอดสู…
เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซูห้าวก็รู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผล
และเมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของขันทีฉี และรู้สึกว่าซูเทียนซื่อกำลังต้องการทำให้ตัวเองขายหน้า ในฐานะผู้อาวุโสการถูกเด็กอายุน้อยกว่าทำตนเองขายหน้า ทำให้เขาอับอายเป็นอย่างมาก
เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามองข้างหลัง และไม่ต้องการโต้เถียงกับขันที เขาจากไปอย่างรวดเร็วด้วยการประคองจากคนของเขา ขันทีฉีมองแผ่นหลังที่พึ่งจากไป ใบหน้าที่เคยปรากฏรอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
เมื่อกลับเข้าไปที่ห้องหนังสือ เดิมทีฮ่องเต้ควรจะได้พักผ่อนแล้ว แต่ตอนนี้เขานั่งอยู่หลังโต๊ะเพื่อฝึกคัดอักษรอย่างแข็งขัน และเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้น “เขาไปแล้วหรือ?”
ขันทีฉีก้าวไปข้างหน้าและตอบด้วยความเคารพ “ตอบกลับฮ่องเต้ เขากลับไปแล้วพะยะค่ะ”
“เขาว่าอย่างไรบ้าง” พู่กันขนหมาป่าในมือของซูเทียนซื่อขยับไม่หยุด
“กระหม่อมดูแล้วเขาคงหัวเสียไม่น้อย!” ขันทีฉีนึกถึงตอนที่เขาด่าตนเองก่อนจากไป และรับรู้ได้ถึงความโกรธนั้นแต่ไม่สามารถทำอะไรได้
ซูเทียนซื่อพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก ขันทีฉีเองก็นิ่งเงียบไป เวลานี้มีคนข้างนอกรายงานว่าหมอหลวงห่าวกลับมาแล้ว และอาการไข้ขององค์หญิงก็ดีขึ้นแล้ว