ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2217 หยากุ้ยเหริน
บทที่ 2217 หยากุ้ยเหริน
ภายห้องหนังสือส่วนตัวของฮ่องเต้ สว่างไสวด้วยไข่มุกราตรี
ขันทีฉียืนอยู่ข้างซูเทียนซื่อ มองดูพู่กันในมือของซูเทียนซื่อที่ขยับตลอดเวลา หากเขามองไม่ผิดเมื่อตอนเขาเอ่ยถึงองค์หญิง พู่กันในมือของฮ่องเต้พลันหยุดลงชั่วคราว ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไรต่อ
เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว และยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พู่กันในมือของซูเทียนซื่อหยุดชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มเขียนต่อ หลังจากที่ขันทีฉีคิดว่าฮ่องเต้คงไม่สั่งการอะไรอีก จึงลอบถอนหายใจ “ข้าไม่เคยเห็นจื่อเย่สูญเสียการควบคุมตนเองมาก่อน!”
เวลานั้นขันทีฉีตกใจมาก ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ แต่แล้วก็เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอีกฝ่าย และมันสร้างความตกใจให้เขาได้ไม่น้อย จึงได้แต่ก้มหน้าลงแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแอบคิดคนเดียวในใจ สิ่งที่เขาคิดน่าจะเป็นเรื่องจริง!
ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบงัน ในที่สุดซูเทียนซื่อก็อนุมัติเอกสารสุดท้ายเสร็จสิ้น ก่อนจะยกมือนวดขมับด้วยความเหนื่อยล้า
“ฝ่าบาท เหตุใดถึงไม่เข้าบรรทมล่ะพะยะค่ะ” ขันทีฉีทนไม่ได้ และเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“คืนนี้ข้าต้องไปที่ไหน?” ซูเทียนซื่อโบกมือและถามน้ำเสียงแหบแห้ง
“คืนนี้เป็นวันพักผ่อนพะย่ะค่ะ” ขันทีฉีกล่าว
ซูเทียนซื่อยืนขึ้น บิดขี้เกียจเล็กน้อย และรู้สึกว่าร่างกายที่เคยแข็งตึงของเขาผ่อนคลายลงมาก ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าในบรรดานางสนมใหม่ที่เข้ามาในวัง มีสตรีคนหนึ่งนามฟางเพ่ยหยาใช่หรือไม่?”
“ตอบกลับฮ่องเต้ ใช่แล้ว นางได้รับการยกย่องเป็นหยากุ้ยเหริน!”
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อก่อนนางอ้วนมากไม่ใช่หรือ” ซูเทียนซื่อพยักหน้ายามนึกถึงอีกฝ่าย
“ปัจจุบันนางเปลี่ยนแปลงไปมากและงดงามยิ่งนัก! ฝ่าบาทเองก็เคยพบนางมาก่อนทั้งยังบอกว่านางมีท่าทางสง่างาม!” ขันทีฉีพูดด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรือ?” ซูเทียนซื่อไม่อยากจะเชื่อจากนั้นพูดต่อ “ข้าได้ยินมาว่าก่อนที่นางจะเข้าวัง นางเป็นสหายที่ดีกับองค์หญิงอันผิง?”
“นั่นเป็นความจริงพะยะค่ะ ไม่เช่นนั้นองค์หญิงอันผิงคงไม่ใช้คำขอสามข้อนั้นเพื่อนางเป็นการส่วนตัวหรอก แต่งตั้งมารดาของนางเป็นเก้ามิ่งระดับหนึ่ง!” ขันทีฉี
“คืนนี้ไปหาหยากุ้ยเหรินเถอะ!” ซูเทียนซื่อพยักหน้า จากนั้นโบกมือแล้วพูดว่า
ขันทีฉีเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่ซูเทียนซื่อจะมีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบไปเตรียมม้าด้วยความตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฮ่องเต้เข้าไปในห้องบรรทม ดูเหมือนเขาจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง และความแปลกประหลาดที่ปราฏกขึ้นในใจ
ครั้งเมื่อหยากุ้ยเหรินข้าวังมา ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจนางนัก
ฝ่าบาทเป็นคนที่ไม่ได้ลุ่มหลงในความงามของสตรี เพราะไทเฮาคิดว่าฝ่าบาทยังเด็กไม่อาจเอาแต่หมุกมุ่นเรื่องนี้ได้ แม้ตอนนี้อายุฝ่าบาทจะล่วงเลยเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แต่ทัศนคติที่เขายังมีต่อสตรีนั้นยังเป็นเหมือนเดิม
ไม่เช่นนั้นเกรงว่าหลายปีมานี้ฮองเฮาจะไม่ใช่คนเดียวที่ตั้งครรภ์ลูกหลานมังกร
ฮ่องเต้ไม่กักขังนางไว้ในวังและปล่อยตัวนางไป เขาไม่อยากเห็นว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้ จึงปล่อยให้ฮองเฮาและไทเฮาเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าหลังจากเดินออกจากตำหนัก ตนจะเห็นองค์หญิงลี่หัวกุมมือฟางเพ่ยหยาไว้ไม่ยอมปล่อยด้วยสีหน้าเศร้าโศก
ครั้นเห็นเช่นนั้นเขาไม่ได้หยุดเดินแต่อย่างใด และเดินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและได้ยินน้องสาวตนเองพูดอย่างเศร้าใจ “เฮ้อ ข้านึกว่าเจ้าเข้ามาในวังแล้วชีวิตข้าจะมีชีวิตชีวาขึ้น เสี่ยวหวานคนนั้นเรียกเข้าวังเท่าไหร่ก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงนึกว่าเมื่อเจ้ามาแล้วนางจะมาที่นี่บ่อยขึ้น แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเสด็จพี่จะไม่รับเจ้าเอาไว้ เฮ้อ…เรื่องนี้ข้าโมโหยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้หยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเดินอีกครั้ง และหันไปบอกขันทีฉีที่อยู่ข้าง ๆ ให้รับฟางเพ่ยหยาไว้เพื่อที่นางจะได้อยู่เป็นเพื่อนกับองค์หญิง
ขันทีฉีออกคำสั่งทันที เวลานั้นฟางเพ่ยหยากำลังจะออกจากวังแต่เพียงพริบตาก็กลายเป็นหญิงคนแรกที่ถูกแต่งตั้ง นับว่าเป็นความโชคดียิ่งนัก
ขันทีฉีคิดแต่เพียงว่าฮ่องเต้ต้องการให้ฟางเพ่ยหยาอยู่ที่นี่เพราะองค์หญิงลี่หัว แต่เขาจะรู้ได้อย่างไร… แต่ก็ไม่อาจกล้าคิดอะไรมากกว่านี้
……
กู้เสี่ยวหวานนอนหลับสบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางอยู่ในอ้อมกอดของฉินเย่จือ และนางก็ไม่ได้ฝันร้ายอีกเลย
เช้าวันต่อมา เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าหล่อเหลากำลังจ้องมาที่นางอย่างตั้งใจก่อนจะส่งยิ้มมีเสน่ห์ให้ตน “เจ้าตื่นแล้วหรือ? หิวหรือไม่?”
เนื่องจากเมื่อวานหลังจากไข้ลดลงแล้ว นางมีอาการมึนหัวเล็กน้อยและต้องการพักผ่อน เขาจึงปล่อยให้หญิงสาวได้นอนพักผ่อน คืนนั้นนางไม่แม้แต่จะสะดุ้งตื่นอีก การที่นางป่วยเช่นนี้มันทำให้ฉินเย่จือปวดใจและไม่กล้าปลุกนางขึ้นมา
กู้เสี่ยวหวานเมื่อได้นอนเต็มอิ่มก็รู้สึกสดชื่นและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ข้าหิวแล้ว!”
“เอาล่ะ ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเถอะ ข้าจะให้พวกเขาเตรียมอาหารเช้า แล้วพวกเรามากินพร้อมกันนะ” ฉินเย่จือยิ้มและบีบจมูกเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ จากนั้นก็ประคองใบหน้าและจูบหน้าผากของนาง
ทำให้กู้เสี่ยวมองไม่เห็นดวงตาอันนิ่งสงบและอ่อนโยนของฉินเย่จือ ปรากฏร่องรอยความเจ็บปวดและสับสน
หลังจากถอนจูบออกมา ฉินเย่จือจับมือนางแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ให้ข้าช่วยแต่งตัวได้ไหม?”
ดวงตาทรงเสน่ห์ของกู้เสี่ยวหวานโค้งลงเป็นจันทร์เสี้ยว เป็นความงามที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่น้ำเสียงยังอ่อนหวานจนทำให้ฉินเย่จือลุ่มหลงไปกับมัน
ไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ เสียงของนาง ดวงตาของนาง รอยยิ้มของนาง ทุกท่วงท่าการขยับเขยื้อน สร้างความรู้แปลกขึ้นในใจของฉินเย่จือ เขารีบยกผ้านวมออกแล้วลุกขึ้น ดึงเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนไม้แขวนแล้วสวมลงบนร่างกายของกู้เสี่ยวหวาน