ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 2218 คู่ชีวิตในชาติที่แล้ว
บทที่ 2218 คู่ชีวิตในชาติที่แล้ว
ฉินเย่จือแต่งกายให้กู้เสี่ยวหวานด้วยความระมัดระวัง
เมื่อเห็นชายหนุ่มพยายามแต่งกายให้ตนเอง กู้เสี่ยวหวานก็ยืนขึ้น กางแขนออกและปล่อยให้ฉินเย่จือแต่งตัวให้ตนเองและพึมพำเบา ๆ “พี่เย่จือ… ท่านคิดว่าชีวิตที่แล้วข้าได้ช่วยคนไว้มากมายหรือเปล่า ชีวิตนี้ถึงได้มาเจอท่านที่ดีเช่นนี้?”
เมื่อได้ยินประโยคหยอกล้อเกินจริงของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็ยิ้มขัน “เด็กโง่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าชีวิตที่แล้วเจ้าไม่ได้อยู่กับข้า”
ร่างกายของกู้เสี่ยวหวานแข็งทื่อ นางเคยมีชีวิตที่แล้วด้วยเหรอ ชีวิตที่แล้วนางตายตั้งแต่ยังเด็ก เช่นนั้นแล้วจะเคยพบเขาได้อย่างไร
ฉินเย่จือไม่ได้สังเกตท่าทางแปลกของนาง แต่เมื่อเห็นนางนิ่งเงียบไปจึงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธ หลังจากจัดเสื้อผ้าของนางเรียบร้อย ก็สวมกอดนางจากทางด้านหลังไว้แน่น “เจ้าเด็กโง่ ข้าคิดว่าชีวิตที่แล้วเราก็อยู่ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะเจอเจ้าและหลงรักเจ้าได้อย่างไร?”
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าทำไม แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเขาก็รู้สึกว่าสมองของนางหนักอึ้ง หัวใจรู้สึกปวดร้าวขึ้นมา หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น กัดฟันแน่นและอดทนต่อความเจ็บปวด ฉินเย่จือหันหลังให้นางและไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีแปลก ๆ ของอีกฝ่าย
อาจั่วได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างใน จึงสั่งให้คนเตรียมอ่างน้ำสำหรับล้างหน้าและอาหารเช้าไว้ แล้วยืนรออยู่ด้านนอก
กู้เสี่ยวหวานนอนหลับไปสองวันหนึ่งคืน หลังจากตื่นขึ้นมาอาจจะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่หลังจากแต่งตัวและเดินไปรอบ ๆ ห้องก็รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้นมาก
ฉินเย่จือเดินไปเปิดประตูให้แสงแดดส่องเข้ามา กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์มาหลายวัน นางจึงไม่คุ้นเคยกับแสงที่เจิดจ้าเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานยกมือขึ้นบังแสงแดดนั้นไว้ เมื่ออาจั่วเดินเข้ามาเห็นท่าทางของคุณหนู จึงรีบถามอย่างทุกข์ใจ “คุณหนู เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฉินเย่จือรีบหันกลับมาและเดินไปหานาง แล้วพูดอย่างประหม่าว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้าป็นอะไรไป?”
เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีประหม่ามาก กู้เสี่ยวหวานจึงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ แค่ไม่ได้เห็นแสงแดดมานาน สายตาจึงรับกับความสว่างของมันไม่ไหว ท่านอย่ากังวลไป!”
ตอนนี้ดวงตาของนาเริ่มคุ้นชินกับแสงแล้ว แต่กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าเขาจะกังวล ดังนั้นจึงรีบมองออกไปข้างนอกและในที่สุดฉินเย่จือก็รู้สึกโล่งใจ
ฉินเย่จือช่วยกู้เสี่ยวหวานล้างหน้า ระหว่างมื้ออาหารก็คอยตักโจ๊กให้อีกฝ่ายไม่หยุด ถ้ากู้เสี่ยวหวานไม่ยืนกรานที่จะกินด้วยตัวเอง ฉินเย่จือคงจะป้อนอาหารให้นาง
“ข้าไม่ต้องการให้ท่านป้อนข้า ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ข้าทำเองได้! ท่านมากินด้วยกันเถอะ…” กู้เสี่ยวหวานคว้าชามจากมือฉินเย่จือและเริ่มกินข้าว
ฉินเย่จือเห็นว่านางยังมีชีวิตชีวา เขาก็โล่งใจมากมาย เมื่อเขานึกถึงบางสิ่ง คิ้วก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้งราวกับมีเรื่องไม่สบายใจ
หลังมื้ออาหารเช้า ฉินเย่จือยังต้องการอยู่กับนาง แต่กู้เสี่ยวหวานคิดว่าตัวเองไม่ใช่เด็กที่ต้องให้เขามาคอยดูแล ดังนั้นนางจึงผลักเขาออกไป “ไปทำงานของท่านเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว!”
ฉินเย่จือยืนอยู่หน้าประตูลาน มองไปที่ผู้หญิงคนนี้ที่เขารักดังสมบัติล้ำค่า หัวใจของเขาก็อ่อนยวบ!
“ไม่ต้องการให้ข้าอยู่กับท่านจริง ๆ หรือ?” ฉินเย่จือมองไปที่กู้เสี่ยวหวานและถามขึ้น
“ข้าไม่ต้องการมันจริง ๆ ดูสิ เช้านี้ข้ากินข้าวตั้งเยอะอีกทั้งยังขอให้ท่านเดินเล่นกับข้าเป็นสิบรอบ คิดว่าคนป่วยจะทำแบบข้าได้เหรอ? ข้าหายแล้ว! ท่านก็รีบไปทำงานและรีบกลับมาหาข้า ตกลงหรือไม่?”
ฉินเย่จือรู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผากและหัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว เขาตอบรับและจากไป
กู้เสี่ยวหวานส่งเขาที่รถม้าของตัวเอง เมื่อเห็นเขาเข้าไปในรถม้าและออกจากสวนชิงทางประตูหลัง นางก็ยังคงยืนอยู่ที่ประตูและเฝ้าดูเขาไปอย่างไม่เต็มใจ ไม่เหมือนกู้เสี่ยวหวานที่ต้องการไล่เขาในเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่านางไม่เต็มใจ แต่นางก็ยังต้องไล่เขาออกไป
“คุณหนูหากท่านลังเลมากที่จะปล่อยให้พี่ใหญ่ฉินไป ทำไมท่านไม่ขอให้เขาอยู่กับท่านสักวันล่ะ?” อาจั่วไม่เข้าใจ
“ถ้าข้าขอให้เขาอยู่ เขาจะคิดว่าข้าไม่สบายใจจริง ๆ และมันจะสร้างความกังวลให้เขา แต่ตอนนี้ข้าหายดีแล้วและข้าก็ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง อีกอย่างเขาก็มีงานของเขา ข้าช่วยเขาไม่ได้และก็ไม่สามารถเป็นตัวถ่วงเขาได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน!”
“คุณหนู ท่านใจดียิ่งนัก!” อาจั่วพึมพำหลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน
คุณหนูอ่อนโยน ใจดี มีไหวพริบ นางไม่เคยบ่นยามตนเจอเรื่องทุกย์ยาก หรือบ่นว่าเหนื่อยต่อหน้านายท่านและบ่นเรื่องที่เขาไม่เคยอยู่ข้างกายตน ตรงกันข้ามคุณหนูยังคงพูดแทนเขา นางปกป้องเขาเสมอ นางไม่เคยไม่เชื่อในตัวเขาและเชื่อใจเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข!
เป็นโชคดีของนายท่านมีคนห่วงใยเช่นนี้
หญิงสาวที่ดีเช่นนี้ใครเล่าจะไม่หลงรัก
ถ้านางเป็นผู้ชาย นางก็อาจจะตกหลุมรักคุณหนูเช่นกัน!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้อาจั่วก็รู้สึกอายเล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานหันมาเห็นใบหน้าที่แดงของนาง ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมเจ้าถึงหน้าแดงล่ะ?”
เมื่ออาจั่วถูกจับได้ นางจะพูดในสิ่งที่คิดออกมาได้อย่างไร นางยิ้มและประคองกู้เสี่ยวหวานเดินกลับลาน และพูดขณะเดินว่า “คุณหนู ข้าคิดว่าชีวิตของท่านสองคนถูกมัดรวมกันไว้ตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้นพวกท่านจะพบกันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”
กู้เสี่ยวหวานนึกถึงสิ่งที่ตนเองเพิ่งพูดเมื่อเช้าและยิ้ม “ข้าก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน ข้าบอกว่าชาติที่แล้วข้าต้องทำสิ่งดี ๆ มากมายแน่ ๆ จึงได้เขามาอยู่ข้างกาย”
“ข้าเดาว่าพี่ใหญ่ฉินต้องบอกว่าพวกท่านต้องเคยเป็นคู่ชีวิตกันในชาติที่แล้วจึงได้มาเจอกันเร็วขนาดนี้!” อาจั่วพูดติดตลก
สองนายบ่าวพูดคุยและหัวเราะกันไปตลอดเวลา แต่เมื่อนางได้ยินคำว่าคู่ชีวิต ร่างกายก็แข็งทื่อไปชั่วครู่และขมวดคิ้วเล็กน้อย