ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 230 ป้าจางเป็นห่วง
บทที่ 230 ป้าจางเป็นห่วง
บทที่ 230 ป้าจางเป็นห่วง
นางกำชับกู้หนิงผิงให้ดูแลกู้เสี่ยวอี้อยู่ที่บ้าน หลังจากนั้นนางก็ออกไปข้างนอก การไถพรวนดินในฤดูใบไม้ผลิได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นางจึงอยากจะไปเดินดูว่าจะควรปลูกสิ่งใดดี
นางไม่คิดว่าทันทีที่ออกจากบ้าน นางจะเห็นคนผู้นั้นนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ชายคาอย่างน่าสงสาร
เมื่อได้ยินว่ามีคนเปิดประตู ฉินเย่จือก็รีบผุดลุกขึ้นทันที เป็นเพราะเขานั่งอยู่เป็นเวลานานและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงมึนหัวเล็กน้อย ขณะที่ฉินเย่จือกำลังมึนหัวอยู่นั้น กู้เสี่ยวหวานก็กลัวว่าเขาจะล้มลง นางจึงรีบเข้าไปช่วยประคอง “ระวังหน่อย!”
ฉินเย่จือยิ้มอย่างขมขื่น “ขอบคุณแม่นาง! แม่นางจะออกไปข้างนอกหรือ?”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้ากำลังออกไปข้างนอก แล้วเจ้าก็ออกไปเสียทีเถอะ!” ในบ้านเหลือเพียงเด็กสองคน ถ้าคนผู้นี้ยังอยู่ นางก็ยังไม่วางใจ
ฉินเย่จือเข้าใจว่ากู้เสี่ยวหวานให้เขาไปด้วยกันกับนาง จึงตอบรับอย่างตื่นเต้นและรีบเดินตามหลังนางไป กู้เสี่ยวหวานที่กำลังลงกลอนประตูอยู่ก็กล่าวกับฉินเย่จือว่า “ข้าจะไปเดินแถวนี้สักหน่อย ส่วนเจ้าก็ไปตามทางของเจ้าเถอะ!”
ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาอยู่บ้าน นางจึงไม่วางใจ
ฉินเย่จือยิ้มอย่างขมขื่นในใจ นี่เขาถูกปฏิบัติเหมือนเป็นคนร้ายไปแล้วหรือนี่
“แม่นาง ข้าไม่มีอะไรทำ ข้าจะตามเจ้าไปด้วย!” ฉินเย่จือเดินตามหลังกู้เสี่ยวหวานไป
กู้เสี่ยวหวานส่ายศีรษะ “ไม่ต้อง เจ้ารีบไปเสียเถอะ!” น่าขันเสียจริง การที่มีชายที่น่าดึงดูดเช่นนี้ตามนางไปรอบ ๆ ถ้าถูกพบเห็นขึ้นมาจะทำอย่างไร! คนผู้นี้มีสถานะเช่นไรนางเองก็ไม่รู้
เมื่อฉินเย่จือเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการให้ตนตามไปด้วย เขาจึงตอบรับมาหนึ่งเสียง ในคำตอบรับนั้นแฝงไว้ด้วยความน้อยใจอย่างสุดซึ้ง นางเหลือบมองเขาอย่างเหลือทน เม้มปากแน่น แต่ในสายตาไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ กู้เสี่ยวหวานอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้กล่าวมันออกมา นางเดินออกไปสองก้าวและเมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นยืนอยู่กับที่ไม่ตามมา กู้เสี่ยวหวานจึงตบอกตัวเองอย่างรู้สึกโล่งใจ
กู้เสี่ยวหวานเดินไปรอบหมู่บ้าน จนไปถึงจุดที่นางพบเห็ดตี้มู่
ที่ดินถูกแบ่งเป็นผืนสี่เหลี่ยมคล้ายก้อนเต้าหู้ ยกเว้นที่ของครอบครัวกู้เสี่ยวหวานที่ยังคงรกร้าง ส่วนที่ดินอื่น ๆ ได้ทำการพรวนดินและเพาะปลูกไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวานเพิ่งจะบอกป้าจางเรื่องที่จะซื้อที่ดินไป เดาว่าวันนี้คงจะยังไม่มีข่าวคราวอะไร
กู้เสี่ยวหวานมองดูที่ดินส่วนใหญ่ที่เป็นทุ่งนา พวกชาวบ้านปลูกข้าวเอาไว้เต็มแปลงนา ยกเว้นที่ดินรกร้างของกู้เสี่ยวหวานที่ยังคงดูว่างเปล่า
เวลานี้ผลผลิตของข้าวมีน้อยมาก และในหนึ่งปีมีเพียงฤดูเพาะปลูกเพียงฤดูเดียวเท่านั้น หากบ้านคนธรรมดาที่มีที่นาน้อย ข้าวชนิดนี้จะไม่พอกิน ในเวลานี้ไม่มีมันเทศหรือข้าวโพดที่ให้ผลผลิตสูงเลย หากมีพืชเหล่านี้ ในฤดูปลูกข้าวจะใช้ปลูกข้าว และในฤดูที่นาแห้งแล้งก็จะใช้ปลูกมันเทศหรือข้าวโพด ถ้าเป็นเช่นนี้คาดว่าในหนึ่งปีก็คงจะไม่ต้องอดอยาก
เฮ้อ มีคำกล่าวที่ว่า เป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงที่จะทำอาหารโดยไม่มีข้าว แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะเป็นนักวิจัยด้านเกษตร แต่แล้วอย่างไรเล่า ถ้านางไม่มีเมล็ดพืชจะเพาะปลูกอย่างไรได้
กู้เสียวหวานมีสีหน้าเคร่งขรึม ฉินเย่จือที่ยืนอยู่ไม่ไกล ครั้นเห็นกู้เสี่ยวหวานตั้งใจดูพื้นที่เพาะปลูกตรงหน้านาง ใบหน้าขนาดเท่าฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยการไตร่ตรอง สาวน้อยผู้นี้อย่ามองว่านางเป็นเด็ก ความคิดของนางค่อนข้างลึกซึ้ง
หลังจากที่ป้าจางได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานอยากจะซื้อที่ดิน ทั้งสองขาและปากของนางก็ไม่เคยหยุด นางไปหาทั้งญาติและเพื่อน กล่าวกับพวกเขาว่าต้องการซื้อที่ดิน ขอให้ทุกคนช่วยหา
หลังจากนั้นก็มีญาติผู้หนึ่งมาบอกป้าจางบอกว่าให้ไปซื้อที่ดินกับนายหน้าค้าที่ดิน เพราะเมื่อถึงเวลานั้นก็ต้องไปทำเรื่องที่ที่ว่าการอำเภออีก ถ้าไปหานายหน้าค้าที่ดิน หนึ่งคือมีตัวเลือกให้เลือกมากมาย สองคือขั้นตอนการซื้อที่ดินจะง่ายขึ้นมาก
เมื่อป้าจางได้ยินเช่นนี้ นางก็รีบไปที่บ้านกู้เสี่ยวหวาน เมื่อมาถึงประตูบ้าน นางก็ตกตะลึงกับคนที่ยืนอยู่หน้าประตู
ชายหนุ่นรูปงามราวกับออกมาจากภาพวาด!
ป้าจางตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งฉินเย่จือที่ตนกำลังจ้องมองมีสีหน้าเปลี่ยนไป ป้าจางจึงได้สติขึ้นมา เมื่อมองดูใบหน้าที่มืดมนของฉินเย่จือ นางจึงรีบตะโกนเรียกกู้เสี่ยวหวาน หลังจากนั้นนางก็ผลักประตูออกมา
“ท่านป้าจาง ท่านมาแล้ว!” เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าป้าจางมาจึงคิดว่าต้องมาเรื่องซื้อขายที่ดินแน่ นางจึงรีบเชิญป้าจางเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว
โดยไม่สนใจฉินเย่จือที่ยืนอยู่หน้าประตูเลยแม้แต่น้อย
ป้าจางประหลาดใจ เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วจึงกระซิบถามกู้เสี่ยวหวาน “สาวน้อยเสี่ยวหวาน ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นผู้ใด? เหตุใดถึงมายืนอยู่หน้าประตูบ้านของเจ้า?”
กู้เสี่ยวหวานโบกมือ “ท่านป้าจางอย่าไปสนใจเขาเลย”
เมื่อป้าจางได้ยินก็เริ่มกังวล “สาวน้อยเสี่ยวหวาน เขาเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดเขาถึงมายืนอยู่หน้าบ้านของเจ้า เขาต้องการอะไรกันแน่?”
กู้เสี่ยวหวานรู้ดีว่าเรื่องนี้คงอธิบายภายในสองประโยคคงไม่ชัดเจนแน่ นางทำได้เพียงอธิบายแบบรวบรัด “ข้าเคยช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนี้เขาไม่มีบ้านให้กลับจึงมาขอร้องให้ข้ารับเขาเอาไว้”
“อะไรนะ เจ้าไปช่วยชีวิตเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้?” ป้าจางตกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
กู้เสี่ยวหวานจึงกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ในครั้งนั้นพี่ฉือโถวก็รู้ เพราะพี่ฉือโถวเป็นคนนำชุดชั้นในของลุงจางมา”
“โอ้!” ป้าจางอุทานราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้พลางตบเข่าฉาดและกล่าวต่อว่า “มิน่าล่ะ ไอ้เด็กเวรนี่บอกข้าว่าชุดชั้นในถูกลมพัดปลิวไป”
ในครั้งนั้นป้าจางเพิ่งจะเย็บชุดชั้นในใหม่ให้ลุงจาง หลังจากซักแล้วจึงผึ่งแดดไว้ แต่หลังจากนั้นมาไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ มันหายไปเพียงสองตัวคือเสื้อชั้นในและกางเกงชั้นใน มันไม่ง่ายเลยที่จะทำชุดชั้นในใหม่ให้สามี แต่นี่ยังไม่ได้ใส่ก็หายไปเสียแล้ว
ป้าจางถามฉือโถวว่าเห็นมันบ้างหรือไม่ แต่ฉือโถวก็กล่าวว่าไม่เห็น หลังจากนั้นก็กล่าวว่ามันถูกลมพัดปลิวไปหรือเปล่า
ป้าจางจะเชื่อได้อย่างไรเพราะเสื้อผ้าตัวอื่นก็ยังอยู่ มีเพียงชุดชั้นในใหม่สองตัวที่หายไป ป้าจางหงุดหงิดมากและคิดว่าคนที่เดินผ่านไปมาเมื่อเขาเห็นเสื้อผ้าใหม่จึงหยิบเอาไป เมื่อคิดเช่นนี้ป้าจางก็หงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่คนที่ผ่านไปมาหยิบเอาไป แต่เป็นลูกชายของนางเองที่หยิบไป