ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 248 ไม่เต็มใจที่จะจ่าย
บทที่ 248 ไม่เต็มใจที่จะจ่าย
บทที่ 248 ไม่เต็มใจที่จะจ่าย
ฉินเย่จือยืนอยู่ข้างหลังกู้เสี่ยวหวานไม่ไกล และสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของกู้เสี่ยวหวานได้อย่างชัดเจน
เขาได้รู้ข้อมูลจากอาโม่แล้วว่าเมื่อครั้งกู้เสี่ยวอี้ป่วย โรงหมอที่นางได้รับการรักษาคือโรงหมอแห่งนี้ และหมอแซ่เหลยก็เป็นคนที่รักษานาง เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดนี้และได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหลี่ซื่อ เช่นนั้นจึงรู้ว่าความโกรธของกู้เสี่ยวหวานมาจากไหน
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะเร่งค้นหาเหตุผลจากคนเหล่านั้น สีหน้าของฉินเย่จือก็หม่นลง และกังวลว่ากู้เสี่ยวหวานที่เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งจะเสียเปรียบ เขาจึงรีบก้าวไปอย่างรวดเร็วเพื่อหยุดนาง
“เจ้ามาหยุดข้าทำไม ข้าจะขอคำอธิบายจากพวกเขา!” ยิ่งกู้เสี่ยวหวานคิดเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ครั้นเห็นฉินเย่จือเข้ามาขัดขวาง นางจึงจ้องมาที่เขาและกล่าวอย่างไม่พอใจ
“เจ้ามีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นคนทำหรือไม่ แล้วพวกเขาจะยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งพูดไปหรือ? เจ้าคิดว่าสองคนนั้นจะยอมรับว่าพวกเขาหลอกเงินเอาจากเจ้าไปอย่างนั้นหรือ?”
“ข้า…” กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น และนางก็ไม่ได้เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเย่จือก็เข้าใจในทันที อันที่จริง ถ้าตามสิ่งที่หลี่ซื่อกล่าวในตอนนี้ หากกู้เสี่ยวหวานออกไปเผชิญหน้ากับพวกเขา พวกเขาจะต้องปฏิเสธในสิ่งที่นางกำลังกล่าวหาพวกเขาอย่างแน่นอน และไม่แน่ว่าพวกเขาอาจโต้กลับด้วยการบอกว่ากู้เสี่ยวหวานกล่าวหาพวกเขาอย่างไม่มีหลักฐาน
เป็นไปไม่ได้ที่หมอเหลยและหลี่ซื่อจะยอมรับในสิ่งที่พวกเขาพูดจากปากของพวกเขาเอง และมันคงไร้ประโยชน์หากนางเข้าไปเผชิญหน้ากับพวกเขา
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานสงบลงแล้ว ฉินเย่จือก็กล่าวต่อว่า “ถ้าเจ้าเข้าไปตอนนี้แล้วจะทำอะไรได้? เจ้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป นอกจากจะทำให้ตนเองจะเสียเปรียบแล้ว เจ้ายังจะทำอะไรได้บ้าง?”
คนพวกนั้นเป็นคนใจดำ นอกจากหลี่ซื่อและหมอเหลยแล้วก็ยังมีพวกอันธพาลอีก กู้เสี่ยวหวานเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้าไปโจมตีพวกเขา ถ้าคนเหล่านั้นทำสิ่งเลวร้าย กู้เสี่ยวหวานคงจะเรียกท้องฟ้าก็ไม่ตอบเรียกดินก็ไม่ได้ผล*[1]
“แล้วข้าควรทำอย่างไร? จะให้ข้ายืนดูคนเลวเหล่านี้หนีไปอย่างนั้นหรือ?” กู้เสี่ยวหวานกังวล เงินหกร้อยตำลึงเงินเหล่านี้อาจมีค่ามากหรือน้อย แต่การเอาชีวิตคนอื่นมาเป็นช่องทางทำเงินเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ!
“เจ้าต้องหาหลักฐานของเรื่องนี้กันก่อน” ฉินเย่จือไม่ค่อยเต็มใจนัก หากเป็นเรื่องปกติเขาจะรุดหน้าและฆ่าแซ่เหลยผู้นั้นเสีย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาทำได้เพียงเป็นคนที่สงบเสงี่ยม และไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองได้
ในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็สงบลง หลังจากคิดดูอีกทีแล้ว นางก็รู้สึกขอบคุณฉินเย่จือที่เข้ามาขัดขวางตนเองไว้ ตอนนั้นนางโกรธมาก จึงไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาในภายหลัง ถ้านางรีบเข้าไปจริง ๆ นางคงจะอ่อนแอเกินกว่าจะจับไก่*[2]ไว้ได้และไม่มีทางจะจับคนพวกนี้ได้อย่างแน่นอน
ถ้าคนเหล่านี้กลัวว่าตนเองจะเปิดเผยความลับของพวกเขา พวกเขาก็จะปิดประตูและทำการปิดปากของนางในทันที เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกเสียวสันหลัง
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขอบคุณฉินเย่จืออย่างสุดซึ้ง
ฉินเย่จือโบกมือของเขา ในใจเต็มไปด้วยความสุข อย่างน้อยในครั้งนี้เขาก็ได้ยินแม่นางผู้นี้กล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยน!
กู้เสี่ยวหวานยังมองดูอยู่อีกครู่หนึ่ง และเห็นว่าหมอเหลยถือบางอย่างออกมาจากห้องด้านหลัง แล้วโยนให้ชายผู้นั้น “นี่ สามร้อยตำลึงเงิน!”
ชายผู้นั้นยิ้มเยาะเย้ย เขย่ามือของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณหมอเหลย” จากนั้นเขาจึงกล่าวกับลูกน้องว่า “ไปกันเถอะ!”
“ช้าก่อน!” เมื่อหมอเหลยเห็นว่าคนเหล่านี้กำลังจะจากไป ดังนั้นเขาจึงรีบเรียกไว้
“มีอะไร? หมอเหลยมีเรื่องอะไรอีกหรือ?”
“สิ่งที่หลี่ซื่อกล่าวในวันนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่กล่าวมันออกไปแม้แต่คำเดียว!” หลังจากที่หมอเหลยกล่าวจบ เขาก็หยิบเงินออกมาจากหน้าอกของเขาแล้วโยนให้ชายผู้นั้น “คิดซะว่าข้าเลี้ยงเหล้าพวกเจ้าก็แล้วกัน”
“นี่เป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ!” ชายผู้นั้นรับเงินแล้วยิ้ม “หมอเหลย ไม่ต้องกังวล ถึงแม้ว่าเราจะเป็นพวกอันธพาล แต่เราก็มีศีลธรรมเช่นกัน เรื่องในวันนี้พวกเราจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น พวกเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าจะไม่มีผู้ใดจะเปิดปากพูดออกมา เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าชายผู้นั้นกำจุดอ่อนของหมอเหลยเอาไว้ และหมอเหลยจึงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “พวกเจ้าไปเถอะ! ถ้าข้าได้ยินข่าวลือจากภายนอกขึ้นมา ก็อย่าโทษว่าข้าทำตัวหยาบคาย” หมอเหลยไม่ได้พูดเล่น เขามีอำนาจมาก แม้ว่าโรงหมอของเขาจะไม่มีชื่อเสียง แต่ก็ยังเปิดต่อไปได้
ชายผู้นี้รู้เบื้องหลังของหมอเหลยดี และเขาจะไม่ทำให้แซ่เหลยผู้นี้ขุ่นเคืองเด็ดขาด เขาพยักหน้าและเดินออกไป
ในเวลานี้ โรงหมอที่เคยเนืองแน่นก็ว่างเปล่าทันที
เมื่อสักครู่คนไข้เพียงคนเดียวในวันนี้ได้หนีไปแล้ว ลูกจ้างในร้านบอกเขาแล้ว ดังนั้นสีหน้าของหมอเหลยจึงไม่มีความสุขเลย
ชายผู้นั้นยิ้มพลางเดินจากไป และไม่มองใบหน้าดำมืดราบกับก้นหม้อของหมอเหลย “พี่น้อง ไปดื่มกันเถอะ”
“อืม อืม…” ผู้คนที่อยู่ข้างหลังเขาส่งเสียงตอบรับ และเดินจากไปอย่างมีความสุข
ใบหน้าของหมอเหลยหม่นลงเมื่อมองไปที่หลี่ซื่อ เขาโกรธเคือง “ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง?”
หลี่ซื่อกุมหน้าอกของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านอาจารย์ ขอบคุณท่านอาจารย์”
หมอเหลยมองไปที่ใบหน้าของหลี่ซื่อ และอยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อตบหน้าของเขา
หลี่ซื่อผู้นี้โตมาอย่างงดงามคล้ายผู้มีความรู้ แต่ภายในของเขานั้นราวกับของเน่าเสีย น่าเสียดายที่มีใบหน้าที่งดงามเช่นนี้
หมอเหลยเหลือบมองหลี่ซื่อด้วยความรังเกียจพลางกล่าว “ข้าเตือนไว้ก่อนว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว”
หลี่ซื่อผู้นั้นกลอกตา ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาก้าวไปข้างหน้า จับมือของหมอเหลยพลางกล่าวอย่างประจบสอพลอ “อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวล ที่ท่านช่วยข้าในครั้งนี้ คราวหน้าจะไม่มาอีกแล้ว”
“อะไรนะ? เจ้ายังจะมีคราวหน้าอีกหรือ?” หมอเหลยโกรธเคือง พลางจ้องไปที่หลี่ซื่อราวกับจะกินเขา
หลี่ซื่อส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “ไม่ ๆ จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว”
หมอเหลยเหลือบมองแล้วกล่าวว่า “เจ้าฟังนะ ครั้งนี้ข้าให้เงินเจ้าสามร้อยตำลึงเงินและเจ้าต้องชดใช้คืน”
หลี่ซื่อยิ้มอย่างประจบสอพลอ “เฮอะ ๆ ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวล ข้าจะออกไปหาลูกค้ามาให้ท่าน”
หลังจากกล่าวโดยไม่มองที่หมอเหลย เขาก็กุมหน้าอกและเดินกะเผลกออกไปนอกประตู เมื่อเขาเดินไปที่ซึ่งไม่มีผู้ใดเห็น หลี่ซื่อถ่มน้ำลายอย่างโกรธแค้น “หึ นี่มันบ้าอะไร เจ้าได้เงินไปมาก แต่ข้ากลับให้เงินข้ามาเพียงเล็กน้อย บ้าเอ๊ย จะเอาเลือดหัวออกและสั่งสอนบทเรียนให้สักที”
*[1] การอธิบายสถานการณ์เป็นเรื่องยากมากและไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้
*[2] แปลว่า อ่อนแอ