ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 254 ได้รับกรรม
บทที่ 254 ได้รับกรรม
บทที่ 254 ได้รับกรรม
เฉาซื่อนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้นเป็นเวลานาน มันไม่ง่ายเลยที่จะลุกขึ้นมา นางใช้โต๊ะเพื่อพยุงตนเองขึ้นมา และพบว่าภายในบ้านนั้นเงียบสงัด
“กู้ฉวนโซ่ว กู้ฉวนโซ่ว…” เฉาซื่อวิ่งออกไปนอกบ้านและตะโกนเสียงดัง ในคืนที่เงียบงัน เสียงตะโกนอันแหบแห้งของเฉาซื่อทำให้ผู้คนตื่นตระหนก
กู้ถิงถิงที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเฉาซื่อจึงขยี้ตา ลุกขึ้นจากเตียง แล้วตะโกนออกมา “ท่านแม่ ท่านพ่อไม่อยู่บ้าน”
ความมืดมิดในยามค่ำคืน เพราะไม่รู้ว่ากู้ฉวนโซ่วไปที่ไหน เฉาซื่อจึงกรีดร้องอย่างโหยหวน เงินส่วนตัวของนางถูกพายุพัดไปจนไม่เหลือ นางรู้สึกราวกับถูกกรีดแทงที่หัวใจ มันช่างแสนสาหัสเหลือเกิน
“กู้ฉวนโซ่ว ไอ้สารเลว เจ้ามันไม่ใช่ผู้ชาย!” เฉาซื่อตะโกนออกไป ในคืนที่เงียบงัน นางได้ตะโกนปลุกคนที่หลับไปแล้วให้ตื่นขึ้น
หลังจากพูดคำเหล่านั้นแล้วกู้ถิงถิงไม่ได้ลุกขึ้น นางก็ได้ยินเสียงตะโกนอันแหบแห้งของเฉาซื่อ เดิมทีค่ำคืนนี้เงียบสงัด ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ซึ่งนั่นทำให้กู้ถิงถิงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว นางรีบคลานเข้าไปในผ้าปูที่นอนและคลุมศีรษะด้วยผ้าห่ม ส่วนกู้ซุ่นซีที่อยู่ด้านข้างก็ก็ตกใจตื่น ร่างกายสั่นระริกด้วยความกลัว “ท่านพี่ ข้ากลัว!”
กู้ถิงถิงรีบดึงกู้ซุ่นซีมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองกอดกันเพื่อให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน นางลูบหลังของกู้ซุ่นซีเพื่อปลอบโยน “อย่ากลัว อย่ากลัว ข้าอยู่นี่”
กู้ซุ่นซีพยักหน้า ร่างกายสั่นสะท้าน และขยับติดกับกู้ถิงถิง ภายนอกยังมีเสียงโหยหวนของเฉาซื่อ แต่พวกนางค่อย ๆ สงบลงและผล็อยหลับไปอีกครั้งด้วยความงุนงง
บ้านของเหลียงเหยาซื่ออยู่ใกล้ภูเขา ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินเสียงร้องของเฉาซื่อ จากนั้นนางจึงใช้ศอกสะกิดสามีที่อยู่ด้านข้าง “สามี เจ้าได้ยินใช่ไหม?”
เนื่องจากทั้งสองบ้านอยู่ใกล้กัน และตอนนี้ก็มืดแล้ว อีกทั้งยังไม่มีเสียงใด ๆ อีก ดังนั้นการที่เฉาซื่อตะโกนออกมาเช่นนั้นจึงทำให้ได้ยินอย่างชัดเจน
“มันเป็นผลกรรมจริง ๆ!” เหลียงเหยาซื่อถ่มน้ำลายและเดาว่า ณ เวลานี้ หัวใจของเฉาซื่อคงจะโศกเศร้า ไม่อย่างนั้นนางคงจะไม่ตะโกนก่นด่ากู้ฉวนโซ่วในเวลาตอนกลางดึกเช่นนี้ “สามี เจ้าว่าช่วงนี้เฉาซื่อกับกู้ฉวนโซ่วเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมครอบครัวนี้ถึงได้เป็นเช่นนี้อยู่ทุกวัน?”
ช่างไม้เหลียงกล่าวด้วยความงุนงง “ใครจะไปรู้!” เขาพลิกตัวกลับมาบ่นว่า “นอนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า”
เหลียงเหยาซื่อตอบรับหนึ่งคำและล้มตัวลงนอน เมื่อคิดว่าความสัมพันธ์ของเฉาซื่อและกู้ฉวนโซ่วกลับตาลปัตรเช่นนี้ หัวใจของนางก็มีความปีติยินดี
หญิงผู้นี้ทำชั่วมามากเกินไป และในที่สุดก็ได้รับผลกรรมที่ทำให้ครอบครัวของนางไม่มีความสุข นี่จึงถือได้ว่าสวรรค์มีตา
เฉาซื่อดตะโกนด่าอยู่ในลานบ้านเป็นเวลานาน ต่อมานางก็ทนความง่วงนอนและความเจ็บปวดไม่ไหว จึงทำได้เพียงเดินกะเผลกกลับไปที่ห้อง
หลังจากที่กู้ฉวนโซ่วออกจากบ้านไปพร้อมกับถือสร้อยข้อมือทองคำ เขาก็มีความสุขมาก ในตอนกลางคืนเช่นนี้ฝีเท้าของเขาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และหายลับไปในความมืด
วันเวลาผ่านไป ฉินเย่จือก็จะมาหากู้เสี่ยวหวานเพื่อรายงานตัวทุกวันเมื่อถึงเวลาทานอาหาร กู้เสี่ยวหวานเคยชินกับเขาเสียแล้ว ครั้นเห็นเขามาก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองครั้งที่แล้ว เพราะอีกฝ่ายช่วยตนเองมาไม่น้อย แถมยังจับขโมยได้อีกด้วย คิดดูแล้ว คนผู้นี้คงไม่ใช่คนเลว
เช่นนี้ก็โล่งใจแล้ว
จนกระทั่งถึงเวลาปิดภาคเรียน เมื่อกู้หนิงอันกลับมาบ้าน แต่คราวนี้สวีเฉิงเจ๋อไม่ได้มา แต่กลับมีแขกที่คาดไม่ถึงมาแทน
เสี่ยวเซิ่งจื่อแห่งร้านจิ่นฝู
กู้เสี่ยวหวานทั้งประหลาดใจและยินดี เสี่ยวเซิ่งจื่อก็เช่นกัน เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวาน เขารีบกล่าวทักทายทันที “แม่นางกู้”
“เจ้ากลับมาจากในเมืองแล้วหรือ? งานที่นั่นเสร็จแล้วหรือ?” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ
“อืม ข้ากลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน และเถ้าแก่ก็กลับมาด้วย” เสี่ยวเซิงจื่อตอบด้วยรอยยิ้ม “ร้านในเมืองรุ่ยเสียนกำลังเข้าที่เข้าทางแล้ว เถ้าแก่บอกว่าไม่ได้เข้าเมืองหลิวเจียนานแล้วจึงจะอยู่ต่ออีกสักพัก”
กู้เสี่ยวหวานงุนงงเล็กน้อย “อะไรนะ? ร้านอาหารในเมืองนี้เปิดมานานแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมยังต้องจับตาดูอยู่อีกล่ะ?”
ตามหลักเหตุผล รูปแบบการค้าในเครือร้านอาหารนี้แต่ละร้านย่อยควรจะมีผู้ดูแลที่ซื่อสัตย์และเฉลียวฉลาดคอยดูแลสถานการณ์โดยรวม ไม่เช่นนั้นเถ้าแก่ที่ใหญ่ที่สุดจะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องร้านนี้ทั้งวัน
“ใช่แล้ว เดิมที่ก็เป็นเช่นนั้น แต่คราวนี้เมื่อเถ้าแก่กลับมา เขาพบปัญหาใหญ่” เสี่ยวเซิ่งจื่อหุบยิ้มเมื่อคิดว่าเหมียวเอ้อร์ทำให้มีปัญหานั้นขึ้นมา เขาจึงโกรธมาก
“เกิดอะไรขึ้น?” กู้เสี่ยวหวานถามด้วยความเป็นห่วง เถ้าแก่หลี่ดูแลนางเป็นอย่างดี และเมื่อนางได้ยินว่าเขามีปัญหา กู้เสี่ยวหวานจึงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อดูว่านางสามารถช่วยได้หรือไม่
“โอ้ แม่นางกู้ นี่ไม่สำคัญหรอก” เสี่ยวเซิ่งจื่อกล่าวอย่างโกรธเคือง “มีปัญหากับบัญชีในร้านอาหาร”
กู้เสี่ยวหวานนึกถึงเหมียวเอ้อร์ในทันที “เจ้าหมายถึงเหมียวเอ้อร์อย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวเซิ่งจื่อพยักหน้า “ใครจะไปรู้ บัญชีนี้คำนวณโดยเขา เขาพูดอย่างชัดเจน แต่เจ้าก็ควรรู้ด้วยว่าแม้ว่าเถ้าแก่จะไม่ถนัดด้านการคำนวณบัญชี แต่ในฐานะเป็นเถ้าแก่ของร้านมาหลายปี บัญชีนี้ดูแปลก และข้าคิดว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ”
กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไร?”
“ตั้งแต่หลังปีใหม่ หลังจากที่เถ้าแก่ไปเมืองรุ่ยเสียน บัญชีมันแปลกไปนิดหน่อย” เสี่ยวเซิ่งจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เมื่อก่อนตอนที่เถ้าแก่ร้านอยู่ในเมืองนี้ สมุดบัญชีรายเดือนนี้จะมีการลงบัญชีอย่างชัดเจนทีละเดือน แต่ครั้งนี้เถ้าแก่ไปที่เมืองอื่นสี่ถึงห้าเดือนแล้วจึงไม่มีเวลามาจัดการที่นี่ บัญชีทั้งหมดจึงถูกคำนวณโดยเหมียวเอ้อร์เพียงผู้เดียว”
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินจึงพยักหน้า
ตามที่เสี่ยวเซิ่งจื่อกล่าว เหมียวเอ้อร์ผู้นี้คงเป็นทั้งคนคิดเงินและทำบัญชี
ในโลกปัจจุบันของกู้เสี่ยวหวาน ระบบการเงินไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าบัญชีและแคชเชียร์ไม่สามารถดำเนินการโดยบุคคลเดียวกันได้ เนื่องจากแคชเชียร์เป็นผู้รับผิดชอบด้านการเงิน และนักบัญชีมีหน้าที่ดูแลบัญชี
เกรงว่าในอดีตหลี่ฝานดูแลเรื่องเงินและเหมียวเอ้อร์รับผิดชอบบัญชีจึงสามารถจัดการได้ดีทุกเดือน
แต่เนื่องจากหลี่ฝานไม่ได้อยู่ในร้านอาหารมาระยะหนึ่งแล้ว เหมียวเอ้อร์จึงต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องเงินและบัญชีเพียงคนเดียว และไม่มีใครดูแลเขา ดังนั้นแล้วเขาจึงสามารถทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้ โดยไม่กลัวว่าจะมีปัญหา