ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 255 ให้การช่วยเหลือ
บทที่ 255 ให้การช่วยเหลือ
บทที่ 255 ให้การช่วยเหลือ
เสี่ยวเซิ่งจื่อพึมพำ “เถ้าแก่คำนวณมาหลายวันแล้ว แต่คำนวณออกมาอย่างไรก็ไม่ชัดเจน แม้ว่าจะคิดว่ามีปัญหา แต่ก็ไม่เข้าใจว่าปัญหาคืออะไร เถ้าแก่จึงกังวลมาก”
หลี่ฝานผู้นี้ไม่ใช่คนทำบัญชีมืออาชีพ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่เข้าใจการคำนวณบัญชีของเหมียวเอ้อร์ และเหมียวเอ้อร์ผู้นี้เป็นคนทำบัญชีมากว่าสิบปีและสุกเหมือนแตงที่ตกลงมาจากเถา*[1] การใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อหลอกหลี่ฝานก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เมื่อคิดว่าเถ้าแก่หลี่เคยดูแลตนเองดีขนาดไหน กู้เสี่ยวหวานจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เสี่ยวเซิงจื่อ ข้ารู้เรื่องการคำนวณบัญชีมาเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปดูกับเจ้า”
“ว่าอย่างไรนะ? เจ้ารู้วิธีคำนวณบัญชีอย่างนั้นหรือ?” เสี่ยวเซิ่งจื่อเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็มองดูพี่สาวของพวกเขาอย่างไม่อยากเชื่อ พี่สาวรู้หนังสือแล้วยังรู้วิธีคำนวณบัญชีด้วยอย่างนั้นหรือ?
กู้เสี่ยวหวานตอบรับทันทีโดยไม่หลีกเลี่ยงน้องชายสองคนของนาง นางกล่าวว่า “ข้าเรียนรู้ด้วยตนเองมาสักพักหนึ่งแล้ว”
ช่วงนี้กู้เสี่ยวหวานได้ช่วยป้าจางคำนวณบัญชีมาบ้าง กู้หนิงผิงไม่แปลกใจเพราะพี่สาวของเขานั้นฉลาดจึงสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ กู้หนิงอันเมื่อได้ยินพี่สาวกล่าวเช่นนั้นก็ไม่แปลกใจสักเท่าไร เพราะพี่สาวเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ไม่ว่าพี่สาวจะพูดอะไรก็สามารถทำได้ กู้หนิงอันจึงพยักหน้าและเชื่อนางอย่างง่ายดาย
เสี่ยวเซิ่งจื่อไม่คิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะคำนวณบัญชีเป็น แต่เมื่อฟังคำพูดของนางก็ดูเหมือนว่านางไม่ได้เข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าคำนวณบัญชีได้? ตกลง เถ้าแก่กำลังมองหาคนที่สามารถทำบัญชีได้ แต่ยังหาใครไม่ได้เลย คนทำบัญชีเหล่านี้ต่างก็มีมิตรภาพที่ดีกับเหมียวเอ้อร์”
“ข้าจะลองดูว่าสามารถช่วยได้หรือไม่!” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
“เอาล่ะ ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” เสี่ยวเซิ่งจื่อมีความสุขมาก คราวนี้ลูกพี่ลูกน้องของเขาไม่สามารถมาทานข้าวที่นี่ได้ เขาจึงมาแทน แถมยังได้ผู้ช่วยอีก
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าไม่ง่ายเลยที่น้องชายจะได้กลับมา นางจึงรีบเข้าครัว วางแผนที่จะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขาได้ทาน
วันนี้ทำน้ำกระดูกปลาน้ำแดง และเห็ดตี้มู่ที่เก็บไว้จากครั้งที่แล้ว กู้เสี่ยวหวานใช้มันผัดไข่กับหน่อไม้แห้ง และทำหน่อไม้แห้งผัดหมูตุ๋นด้วย และสุดท้ายก็ทำน้ำแกงไข่ เมื่ออาหารอร่อยอยู่บนโต๊ะ กู้เสี่ยวหวานก็ยังคงมองไปที่ประตู
อาหารส่งกลิ่นหอม กู้เสี่ยวหวานมักจะคิดว่าฉินเย่จือจะปรากฏขึ้น แต่เมื่ออาหารถูกเตรียมไว้บนโต๊ะ คนผู้นั้นก็ไม่ปรากฏตัวออกมา เดิมทีเขาจะปรากฏตัวในเวลารับประทานอาหาร แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น
กู้เสี่ยวหวานกังวลว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับคนผู้นี้ นางจึงเอาแต่มองออกไปที่ลาน เมื่อกู้หนิงผิงเห็นเช่นนั้นจึงแอบกระซิบถามว่า “ท่านพี่ ท่านรอพี่ชายผู้นั้นอยู่หรือเปล่า?”
ทันใดนั้นกู้เสี่ยวหวานก็ได้สติขึ้นทันที ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นมาดื่มกินจนทำให้ตนเองเคยชินกับมันไปเสียแล้ว ถ้าเขาไม่มา ตนเองจึงเกิดความสงสัย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้กู้เสี่ยวหวานก็ทำหน้ามุ่ยและโต้กลับ “ไม่ใช่ รีบเข้ามาเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดความจริง ใบหน้าของนางร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางเคยชินเสียแล้ว และมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริง ๆ ไม่มาก็คือไม่มา คนผู้นี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร ไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่ก็หวังว่าเขาจะไม่มาอีกในอนาคต
ฉินเย่จือกำลังกินปลาย่างของอาโม่อยู่บนภูเขา มันมีรสชาติจืดชืดและไหม้เกรียม ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉินเย่จือคงกินมันโดยไม่จู้จี้จุกจิก แต่ตอนนี้เขาเคยชินกับอาหารของกู้เสี่ยวหวานไปแล้ว การย่างปลาในป่านี้รสชาติช่างแย่จริง ๆ
“นายท่าน ทำไมไม่กินมันเสียล่ะ?” เมื่ออาโม่มาถึงหลังจากย่างปลาอีกตัวแล้ว เมื่อเห็นเจ้านายของตนจ้องมองไปที่ปลาย่างในมือด้วยความงุนงง
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำไมฝีมือไม่พัฒนาบ้างเลยล่ะ!” ฉินเย่จือจ้องมองปลาย่างในมือ หลังจากชิมแล้วก็กลืนยากจริง ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับอาโม่
อาโม่ที่ถือปลาอยู่ในมือขวา เมื่อได้ยินว่าเจ้านายของเขาไม่ชอบฝีมือของเขามาก จึงเกาจมูกด้วยความเขินอาย
ถึงจะฝีมือไม่ดี แต่เจ้านายก็กินมาหลายปีแล้ว และไม่เคยได้ยินเจ้านายบอกว่าไม่อร่อย แต่คราวนี้ทำไมถึงพูดความจริงล่ะ?
อาโมบ่นในใจ หากแต่ไม่กล้าเอ่ยออกไป
ฉินเย่จือจ้องไปที่ปลาย่างที่ไหม้เกรียมในมือของเขา แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกินเพื่อให้อิ่มท้อง
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเซิ่งจื่อแห่งร้านจิ่นฝูไปที่บ้านของครอบครัวกู้เพื่อทานอาหาร ฉินเย่จือก็โกรธมาก เพราะเขาต้องบีบตนเองให้ออกมาจากที่นั่น
ฉินเย่จือกินสองคำแล้วโยนปลาย่างทิ้งไปข้าง ๆ อาโม่มองดูสิ่งที่ตนเองทำอย่างยากลำบากมาทั้งช่วงเช้า แต่เจ้านายของเขากลับกินไม่กี่คำแล้วโยนมันทิ้งไปอย่างรังเกียจ อาโม่ก็รู้สึกเสียใจยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าแม่นางกู้ผู้นี้มีฝีมือดีขนาดไหน จึงทำให้เจ้านายที่ไม่เลือกกินกลับจู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับการกินได้ถึงขนาดนี้
เมื่อคิดว่ามันเป็นเรื่องที่มีความสุข อาโม่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเกี่ยวกับสาวน้อยผู้นี้ คนที่สามารถสร้างความประทับใจให้เจ้านายของเขาได้ด้วยด้านที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง แม้ว่าในตอนนี้ หญิงสาวผู้นี้จะเหมือนลิงผอม เมื่อเทียบกับผู้หญิงในบ้าน นางเป็นเหมือนฟืนแห้ง ๆ ผอม ๆ หากแต่ก็ยังสวย และเมื่อโตขึ้นนางจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างแน่นอน
ฉินเย่จือนอนลงและพักผ่อนหลังจากทานอาหารไปสองสามคำ อาโม่ที่ทานเสร็จก็ไม่กล้าพักผ่อน เขากลับไปยืนในที่ที่เขาเห็นครอบครัวกู้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง และมองอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่พวกกู้เสี่ยวหวานทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินตามเสี่ยวเซิ่งจื่อเข้าไปในรถม้า
เมื่ออาโม่เห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไปแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ควรรายงานต่อฉินเย่จือ ไม่ว่าเขาจะกำลังจะพักผ่อนอยู่หรือไม่ก็ตาม เขาก็ขึ้นไปปลุกฉินเย่จือให้ตื่นขึ้น
จากนั้นก็บอกฉินเย่จือในสิ่งที่เขาเห็นเมื่อสักครู่
เมื่อฉินเย่จือได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานกับเสี่ยเซิ่งจื่อเข้าไปในเมืองหลิวเจีย จึงบอกอาโม่ให้เฝ้าดูครอบครัวกู้เป็นอย่างดี แล้วหายตัวไปในชั่วพริบตา
ระหว่างทางเสี่ยวเซิ่งจื่อถามกู้เสี่ยวหวานบางอย่าง
หัวข้อคือ หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ในเวลานั้นสัญญาว่าจะส่งไปยังร้านจิ่นฝู
เสี่ยวเซิ่งจื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กชายที่มาต้อนรับกู้เสี่ยวหวานในเวลานั้น เด็กชายรู้ว่าเสี่ยวเซิ่งจื่อฉลาดและมีความสามารถ และเถ้าแก่ก็ชอบเสี่ยวเซิ่งจื่อมาก เขาจึงมักจะติดตามเสี่ยวเซิ่งจื่อเพื่อเรียนรู้วิธีการทำสิ่งต่าง ๆ เสมอ เพราะเขาฉลาด เสี่ยวเซิ่งจื่อจึงชอบเขามากเช่นกัน
หลังจากที่เสี่ยวเซิ่งจื่อกลับมาจากเมืองรุ่ยเสียน เด็กชายผู้นั้นก็บอกเสี่ยวเซิ่งจื่อเรื่องที่กู้เสี่ยวหวานไปที่ร้านจิ่นฝูถึงสองครั้ง
*[1] คล่องแคล่วมาก