ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 267 สอนบทเรียนให้กุ้ยซื่อ
บทที่ 267 สอนบทเรียนให้กุ้ยซื่อ
กู้หนิงผิงกำลังจุดไฟ และเมื่อเขาเห็นพี่สาวของเขาหัวเราะเพราะไม่ได้เก็บคำพูดของกุ้ยซื่อมาใส่ใจ ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยินเสียงตะโกนของกุ้ยซื่อเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และบางคนไม่สามารถทำได้
กุ้ยซื่อไม่รู้เลยว่ามีดวงตาเหยี่ยวคู่หนึ่งจ้องมาที่นางด้วยความรังเกียจจากบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
“นายท่าน…” อาโม่มองที่ฉินเย่จือด้วยดวงตาไม่มั่นใจ และสวดอ้อนวอนเพื่อหญิงวัยกลางคนผู้นั้น
หญิงผู้นี้มีท่าทีที่ดุร้ายและยังพยายามสร้างปัญหากับแม่นางกู้อีก ดูเหมือนว่านางจะหงุดหงิดจริง ๆ เมื่ออาโม่มองดูสีหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ของนายท่าน หญิงผู้ที่หยาบคายและไร้เหตุผลเช่นนี้คงต้องอ้อนวอนสวรรค์ให้มากเสียแล้ว!
ฉินเย่จือเหลือบมองอย่างเย็นชา และจิตสังหารที่ปรากฏวาบในหัวใจของเขาเมื่อครู่นี้ก็หายไป ถ้าเกิดเรื่องใหญ่ในหมู่บ้านเกรงว่ามันจะไม่ดีต่อกู้เสี่ยวหวาน
ฉินเย่จือหลับตานิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน แต่เสียงโวยวายของกุ้ยซื่อก็ยังคงดังกระทบแก้วหูของเขา ฉินเย่จือพ่นลมอย่างเย็นชา โบกมือและสั่งอาโม่ “ขับไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไป นางช่างเสียงดังเสียจริง!”
อะไรนะ?
เดินทีอาโม่รอให้เจ้านายของเขาไปจัดการคนผู้นี้ แต่ไม่คิดว่าเขาจะต้องไปเอง อาโม่รู้สึกว่าเขาไม่สามารถรับมือได้เมื่อเขามองไปที่กุ้ยซื่อที่มีรูปร่างอ้วนท้วนและถ่มน้ำลายไปทั่ว เขาพลันลำบากใจ “นายท่าน จะสั่งสอนนางผู้นี้อย่างไร?”
ตั้งแต่เมื่อก่อน เขาเคยทั้งฆ่าและทำร้ายผู้คน แม้ว่าคนพวกนั้นจะคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา หรือร้องไห้แทบเป็นแทบตาย เขาก็จะไม่หยุด แต่นี่เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะสอนบทเรียนให้นางอย่างไร
ฟังน้ำเสียงของนายท่านแล้วดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการให้ทำอะไรเกินควร ถ้าไม่ฆ่านางและไม่ทำร้ายนาง แล้วจะให้ทำอย่างไร?
เมื่อเห็นว่าอาโม่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ฉินเย่จือก็ดีดตัวไปหยิบกรวดจากพื้นดินแล้วโยนให้อาโม่ จากนั้นเขาก็นอนลงบนกิ่งไม้ใหญ่หลับตาและพักผ่อน อาหารฝีมือกู้เสี่ยวหวานใกล้จะพร้อมแล้ว แต่นางผู้นี้กำลังขวางประตูอยู่ แล้วเขาจะเข้าไปได้อย่างไร?
อาโม่หยิบหินก้อนนั้นและติดเล่นทันที วิธีนี้ง่ายต่อการจัดการ ไม่ทำร้ายใคร และทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดมากมาย
อาโม่หยิบหินขึ้นมา มองดูจังหวะให้ดี แล้วขว้างออกไปด้วยแรงหนึ่งในสิบของแรงปกติ
กุ้ยซื่อที่กำลังโวยวายอยู่ เมื่อมีบางอย่างมากระแทกโดนศีรษะ นางก็กรีดร้องออกมาพลางจับศีรษะที่เจ็บแปลบขึ้นมา และตะโกนว่า “ผู้ใดทำข้า?”
ถนนด้านนอกว่างเปล่า กุ้ยซื่อจึงมองไปรอบ ๆ และไม่เห็นใครเลยนอกจากตัวนางเอง
กุ้ยซื่อลูบศีรษะไปมา แล้วเริ่มสาปแช่งออกมาอีกครั้ง เมื่ออาโม่เห็นว่านางผู้นี้ยังไม่ยอมหยุด อาโม่จึงขว้างก้อนหินไปอีกสองก้อน ก้อนหนึ่งขว้างโดนที่ต้นขาของกุ้ยซื่อและอีกก้อนโดนที่หลัง
กุ้ยซื่อที่ไม่ทันได้ตั้งตัว นางลูบบริเวณที่เจ็บปวดและร้องออกมาอีกครั้ง ปากของนางก็สบถคำหยาบออกมา “ใครกัน ไอ้สารเลวคนไหนบังอาจมาขว้างหินใส่ข้า? ออกมาเดี๋ยวนี้”
อาโม่ยังขว้างหินอีกสองสามนัดและโดนกุ้ยซื่อทุกที่ เมื่อกุ้ยซื่อเห็นว่ามีคนกำลังทำแอบร้ายตนเอง นางก็พ่นคำด่าต่อไป และรู้ว่าถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อก็คงจะโดนปาหินใส่อีก นางจึงถ่มน้ำลายใส่ประตูบ้านของกู้เสี่ยวหวานและจากไปอย่างรวดเร็ว
กุ้ยซื่อเดินไปได้ไม่ไกล และนางก็ซ่อนตัวอีกครั้งเพราะอยากรู้ว่าผู้ที่ทำร้ายนางเมื่อสักครู่เป็นใคร แต่นางจะสามารถซ่อนตัวจากสายตาของอาโม่ไปได้อย่างไร
อาโม่โดดลงมาที่ด้านหลังจองกุ้ยซื่ออย่างเงียบเชียบและฟาดมือของเขาใส่นาง จากนั้นนางจึงหมดสติและล้มตัวลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นอาโม่จึงลากกุ้ยซี่อไปยังป่าและทิ้งนางไว้ที่นั่น
เมื่อเห็นร่างอ้วนของกุ้ยซื่อ ในใจของเขาก็ยิ่งรังเกียจ นางผู้นี้ช่างน่าเกลียดและจิตใจของนางก็น่าเกลียดยิ่งกว่า
สาวน้อยกู้เพิกเฉยต่อนางเพราะปากของนางโสมมยิ่งนัก ถ้าเป็นปกตินางผู้นี้คงจะถูกตัดลิ้นไปแล้ว แต่วันนี้ยังถือว่าโชคเข้าข้างนาง
อาโม่เตะไปที่นางอีกครั้ง และเดินออกไป
ฉินเย่จือมาถึงประตูบ้านของครอบครัวกู้แล้ว มองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นจึงเคาะประตูอย่างสุภาพ
กู้หนิงผิงวิ่งออกไป และเมื่อเขาเห็นฉินเย่จือ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา ดูแล้วมีความสุขยิ่งนัก กู้หนิงผิงรีบวิ่งไปเปิดประตูอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะทำให้ฉินเย่จือรอนาน
เมื่อเห็นฉินเย่จือ เขาจึงโค้งคำนับและยิ้มให้ ‘ท่านอาจารย์มาแล้ว’ หลี่ฝานอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน เขาจึงคิดว่าฉินเย่จือจะไม่มา
ฉินเย่จือลูบหัวของกู้หนิงผิง เมื่อสักครู่นี้ที่พวกหลี่ฝานมาที่นี่ เขาเห็นสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
ทั้งสองเข้าไปในครัวเล็ก ๆ กู้เสี่ยวหวานกำลังยุ่งกับงานของนาง เมื่อนางเห็นฉินเย่จือจึงยิ้มให้แต่ไม่ได้พูดอะไร และการเคลื่อนไหวมือของนางไม่หยุดลงแต่อย่างใด
ดูเหมือนว่าการที่ฉินเย่จือมาทานอาหารที่นี่จะกลายเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว
หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเสร็จแล้ว ฉินเย่จือก็ออกไป จากนั้นกู้หนิงผิงก็ขอตัวออกไปเล่นและเดินออกไป กู้เสี่ยวหวานไม่คิดอะไรมาก นางรู้สึกว่าเด็กผู้ชายจะเล่นมากสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไร เพราะเมื่อยามที่เขาชายชราลงก็คงเล่นแบบนี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นนางจึงปล่อยเขาไป
จากนั้น กู้เสี่ยวหวานก็พาน้องสาวของนางไปนอนกลางวัน
เมื่อกู้หนิงผิงมาถึงสถานที่นัดพบกับฉินเย่จือ เขาก็เห็นว่าฉินเย่จือกำลังรอเขาอยู่แล้ว ในครั้งที่แล้วเขาได้สอนท่านั่งม้า*[1] ให้กู้หนิงผิง ในครั้งนั้นเขาได้ทำการทดสอบกู้หนิงผิงแล้วและพบว่าเด็กคนนี้มีความอดทนและมีความสามารถมาก
ฉินเย่จือสอนทักษะพื้นฐานบางอย่างอีกครั้ง อาโม่ที่อยู่ไม่ไกลก็ตกตะลึงเมื่อมองดูพวกเขา เจ้านายของเขาเคยสอนศิลปะการต่อสู้ให้คนอื่นที่ไหนกัน? นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความอดทนเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเด็กชายของครอบครัวกู้นี้จะมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ เขาได้รับการสืบทอดวิชาจากนายท่านโดยตรงและเขาก็เป็นศิษย์สายตรง
กว่าชั่วยามต่อมา กุ้ยซื่อได้สติขึ้นมาและลูบคอที่เจ็บปวด จากนั้นจึงสบถออกมา “ผู้ใดที่ทำร้ายข้ากัน เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
หลังจากที่กุ้ยซื่อฟื้นขึ้นมาก็เดินกลับบ้าน เนื่องจากนางยังไม่ได้ทานอาหารกลางวัน ท้องของนางจึงส่งเสียงร้องออกมา
เมื่อกุ้ยซื่อกลับถึงบ้าน นางก็เห็นว่าบ้านไร้ชีวิตชีวา ใบหน้าของนางจึงบิดเบี้ยวเหยเกในทันที เมื่อเข้าไปถึงห้องครัวเล็ก ๆ ก็ไม่เหลือแม้แต่เศษอาหาร กุ้ยซื่อจึงอารมณ์เสียทันที
“กุ้ยสวิ้นเหอ กุ้ยสวิ้นเหอ ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้” กุ้ยซื่อฉุนเฉียวเมื่อเห็นว่าแม้นางไม่กลับบ้านก็ไม่มีผู้ใดออกไปตามหาสักคน และเมื่อนางกลับมา แม้แต่อาหารก็ไม่เหลือไว้ให้ นางจึงโกรธ เอามือเท้าเอว และตะโกนออกไป
กุ้ยสวิ้นเหอที่กำลังงีบหลับอยู่ในบ้าน เมื่อเขาได้ยินเสียงตะโกนของภรรยา เมื่อครู่นี้เขาง่วงเล็กน้อย แต่ตอนนี้ก็ตื่นขึ้นแล้ว ครั้นเดินออกมาก็เห็นว่าผมของกุ้ยซื่อยุ่งเหยิงและมีใบไม้ติดผม หน้าผากยังมีรอยฟกช้ำที่ดูเหมือนมีใครถูกทำร้าย บนเสื้อผ้าก็มีเศษดินติดอยู่ เมื่อมองดูแล้วก็รู้สึกน่าเวทนา
*[1] ท่านั่งม้า หรือ หม่าปู้ ท่ายืนม้าที่สำคัญที่สุดในวิชามวยจีนเกือบทุกวิชา