ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 27 เจออาสะใภ้สาม
บทที่ 27 เจออาสะใภ้สาม
บทที่ 27 เจออาสะใภ้สาม
กู้หนิงผิงเดินเข้ามาพลางเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ มีหัวไชเท้าป่ามากมายเพียงนี้ พวกเราไม่ต้องทนหิวแล้วใช่หรือไม่?”
“แน่นอน!” กู้เสี่ยวหวานเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของกู้หนิงผิงอย่างระมัดระวัง เอ่ยขึ้นแน่วแน่ “หลังจากนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องหิวโหยอีกต่อไป!”
ทั้งสามคนมองแววตาเด็ดเดี่ยวของกู้เสี่ยวหวาน หัวใจดวงน้อยของพวกเขารู้สึกมั่นคง
ทั้งสี่คนกลับมาขยันขันแข็งอีกครั้ง ตะกร้าทั้งสี่ใบกลับมาอัดแน่นด้วยหัวไชเท้า กู้เสี่ยวหวานเงยหน้ามองท้องฟ้า ในเวลานี้ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้าแล้ว ในฤดูหนาวพระอาทิตย์จะตกเร็ว และบริเวณรอบภูเขาลูกนี้กำลังจะมืดสนิท
แม้ว่าจะเหลือหัวไชเท้าจำนวนมากมายที่ยังไม่ได้เก็บ แต่กู้เสี่ยวหวานก็ไม่กล้าที่จะเก็บมันอีกต่อไป นางรู้ว่าภูเขาแห่งนี้ยามค่ำคืนน่ากลัวเพียงใด ความหนาวเหน็บท่ามกลางฤดูหนาวจะทำให้พวกนางแข็งตาย ยังไม่รวมสัตว์ร้ายที่ออกหาอาหารในยามค่ำคืนอีก
หลังจากสี่พี่น้องเก็บข้าวของเสร็จก็มุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรีบเร่ง
ลงจากภูเขาคราวนี้ก็พบเจอผู้คน เนื่องจากมีคนกลับมาเยี่ยมบ้าน จึงเป็นเวลาที่ผู้คนต้องกลับบ้านไปทำอาหาร กู้เสี่ยวหวานไม่ค่อยคุ้นเคยกับใบหน้าเหล่านี้นัก หากแต่บางคนก็ไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้ฉีกหน้าผู้อื่น
“อุ๊ย ดูสิว่านี่คือใครกัน วันนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ได้ยินมาว่าลูกสาวคนโตของบ้านรองตายไปแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร ทำไมเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่อีก? เจ้ายังไม่ตาย!” ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมสูงดังมาจากด้านหน้า กู้เสี่ยวหวานรีบก้มศีรษะจับมือกู้เสี่ยวอี้ก้าวเท้าฉับไว
“ท่านแม่ บางคนก็เป็นคนเลวทรามต่ำช้า จะตายง่ายแบบนั้นได้อย่างไร!”
กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้น และเห็นสตรีนางหนึ่งก้าวเดินมาจากฝั่งตรงข้าม หญิงคนนี้มีอายุประมาณสามสิบปี นางสวมเสื้อนวมบุฝ้ายและกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม มวยผมของนางแตกต่างจากหญิงชนบทรอบข้าง เปียผมขนาดใหญ่สองเส้นม้วนไว้ด้านหลัง เกล้าเป็นมวยสูงอย่างพิถีพิถัน ประดับด้วยปิ่นสีเงิน มีรูปโฉมงดงามมากทีเดียว หากไม่ปริปากเอ่ยคำใด คนรอบข้างคงจะคิดว่าเป็นคุณนายในเมือง นางจูงมือเด็กผู้หญิงอายุประมาณห้าขวบเดินมาทางนี้พร้อมรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้
“อาสะใภ้สาม…”
จนกระทั่งกู้เสี่ยวอี้ข้างกายกู้เสี่ยวหวานเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา กู้เสี่ยวหวานจึงตระหนักได้ว่าคนที่เอ่ยวาจาเจ็บแสบใจดำแทบอยากจะให้นางตายคือแม่เฉา อาสะใภ้สามของตนเอง มิน่าล่ะนางจึงดูคุ้นเคยขนาดนี้
ดังนั้นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่นางจูงอยู่คงจะเป็นกู้ถิงถิงลูกสาวคนสุดท้องของนาง
แม่เฉาเป็นภรรยาของกู้ฉวนโซ่ว อาคนที่สามของกู้เสี่ยวหวาน หลังจากแต่งงานกับครอบครัวกู้ก็ให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวหนึ่งคน
ครอบครัวของแม่เฉาไม่ได้มาจากหมู่บ้านอู๋ซี แต่มาจากหมู่บ้านข้าง ๆ ได้ยินมาว่าเมื่อตอนที่แม่เฉายังสาว นางก็เป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในหมู่บ้านพวกเขา หากเป็นยุคสมัยใหม่คงเรียกนางว่าดอกไม้ประจำหมู่บ้าน
กล่าวกันว่าบุรุษในหมู่บ้านที่ถึงวัยเหมาะสมที่จะแต่งงาน เขาต้องการสู่ขอแม่เฉามาเป็นภรรยาของตน น่าเสียดายที่ครอบครัวฝ่ายแม่ของแม่เฉายากจนข้นแค้น ทั้งยังมีลูกชายสองคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน บิดามารดาของแม่เฉาจึงหวังที่จะหาครอบครัวที่ดีให้แม่เฉา กอบโกยจากเงินสินสอดทองหมั้นเล็กน้อย แก้ปัญหาใหญ่ติดตัวมาชั่วชีวิตของลูกชายสองคนทิ้ง
ดังนั้น เงื่อนไขที่ครอบครัวของนางจะเลือกครอบครัวสามีในเวลานั้นจึงค่อนข้างเข้มงวด สินสอดทองหมั้นที่ครอบครัวของแม่เฉาต้องการ ครอบครัวในหมู่บ้านที่ขัดสนเช่นกันต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ทำให้เหล่าบุรุษจำนวนมากเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง เป็นเช่นนี้อยู่นานจนไม่มีแม่สื่อใดมาเยือนประตูบ้านครอบครัวเฉา นานวันเข้าแม่เฉาก็มีอายุครบสิบแปดปีแล้ว
เมื่อไม่มีชายใดในหมู่บ้านให้แต่งงาน จึงจำต้องแต่งออกสถานเดียว และเด็กสาวที่ถูกเก็บเอาไว้นานวันยิ่งแก่ตัวขึ้นและยิ่งมีค่าน้อยลง อีกทั้งภายในบ้านยังมีชายหนุ่มสองคนที่ต้องการแต่งภรรยาด้วย
พ่อแม่ของแม่เฉาและน้องชายสองคนต่างเป็นกังวล อาจกล่าวได้ว่าพวกเขากระวนกระวายจนขุ่นเคือง หากไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านกล้าแต่งงานกับนาง หมู่บ้านอื่นก็คงจะมีบ้าง?
ต่อมาได้ยินมาว่าเวลาผ่านไประยะหนึ่ง แม่เฉามักแต่งตัวฉูดฉาดหรูหรา เดินเตร่ไปรอบหมู่บ้านอื่น กระทั่งมาถึงหมู่บ้านอู๋ซี และก็ได้พบกู้ฉวนโซ่ว
ว่ากันว่าเมื่อกู้ฉวนโซ่วพบเจอแม่เฉาเป็นครั้งแรก เขาก็พลันตกตะลึงกับความงามดุจนางฟ้านางสวรรค์ของแม่เฉา!
กู้ฉวนโซ่วตกหลุมรักแม่เฉาตั้งแต่แรกพบ เขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่แต่งงานกับผู้ใด นอกจากสาวงามผู้นั้น
เวลานั้น ภายในครอบครัวเหลือเพียงกู้ฉวนโซ่วที่ไม่ได้แต่งงาน เมื่อได้ยินว่าลูกชายคนสุดท้องพบเจอคนถูกใจ จึงไม่อาจห้ามเขาไม่ให้แต่งงานได้ ท่านปู่กู้และท่านย่ากู้เชิญแม่สื่อมาเพื่อสู่ขอสะใภ้ให้เขาเพียงชั่วข้ามคืน
แต่เมื่อได้ยินเงื่อนไขที่ตระกูลเฉาเสนอ ท่านปู่กู้และท่านย่ากู้ก็แทบเป็นลมล้มพับด้วยความตกใจ สินสอดทองหมั้นที่ครอบครัวแม่เฉาต้องการ สามารถจัดงานแต่งงานให้ลูกชายคนโตและลูกชายคนรองได้อีกครั้ง
ท่านปู่กู้และท่านย่ากู้จะกล้าตอบตกลงได้อย่างไร พวกเขาปฏิเสธกู้ฉวนโซ่วอย่างรวดเร็ว แต่กู้ฉวนโซ่วกลับค้านหัวชนฝา ไม่ง่ายเลยที่จะพบหญิงสาวที่งดงามราวเทพธิดา จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร พวกเขาขัดแย้งกันจนถึงขั้นอดอาหารประท้วงกว่าทุกฝ่ายจะเจรจากันได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายวัน
ท่านย่ากู้ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เป็นเพราะว่ากู้ฉวนโซ่วประท้วงด้วยการอดอาหาร ร่างกายผอมลงทุกวัน กู้ฉวนโซ่วเป็นลูกคนสุดท้อง ผู้เป็นแม่จึงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ จึงรวมหัวเข้าข้างกับกู้ฉวนโซ่วเพื่อทำการเจรจากับท่านปู่กู้อีกครั้ง
หลังตกลงกับท่านปู่กู้ได้สำเร็จ จึงวางแผนที่จะไปที่บ้านของแม่เฉาเพื่อทำการสู่ขอ
หากแต่เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในบ้านตระกูลกู้อีกครั้ง!
คราวนี้เป็นแม่ซุนภรรยาของกู้ฉวนลู่ เหตุผลของแม่ซุนนั้นง่ายดายนัก เป็นเพราะครอบครัวกู้ไม่มีเงินแล้วในเวลานี้ หากอยากสู่ขอแม่เฉาให้กับกู้ฉวนโซ่ว ครอบครัวก็ต้องหยิบยืมเงินเป็นจำนวนมาก
เพียงแต่การยืมเงินในครั้งนี้ผู้ใดจะเป็นคนชดใช้ ครอบครัวกู้มีฐานะธรรมดา พวกเขาสู่ขอลูกสะใภ้มาสองคน และให้กำเนิดทารกขึ้นมาอีกหนึ่งคน หนึ่งครอบครัวแปดปากท้องอย่างไรก็ต้องกินข้าว ไหนจะมีทารกน้อยอีกหนึ่งคน จะมีเงินมากมายไปสู่ขอสะใภ้ราคาสูงเช่นนั้นได้อย่างไร
อีกอย่าง เงินเยอะขนาดนั้นถึงเวลาคืนแล้วใครจะเป็นคนคืน
แม่ซุนไม่คิดว่าพ่อสามีและแม่สามีที่อายุมากแล้วจะหาเงินได้ เหล่าพี่น้องก็ยังไม่แยกบ้าน ถึงตอนนั้นเงินที่ยืมก็คงตกเป็นภาระของลูกชายคนโตและคนรอง
แม่ซุนไม่ได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น นางค้านหัวชนฝาเรื่องการใช้เงินจำนวนมากไปกับการสู่ขอแม่เฉา หากต้องการสู่ขออีกฝ่ายก็ย่อมได้ แต่ต้องยืมเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากพวกเขาไม่ช่วยชดใช้ นางไม่ยิมยอมเป็นอย่างแน่
ท่านปู่กู้และท่านย่ากู้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือจะต้องตอบรับลูกชายอีกคนและเสียลูกชายอีกคนไปจริงอย่างนั้นหรือ ท่านปู่กู้ทำไม่ลงจริง ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หน้าเลือดมาก เข้าขั้นขายลูกสาวกินเลยนะนั่น แถมแต่งเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ช่วยครอบครัวสามีอีก
ไหหม่า(海馬)