ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 284 เช่าที่ดิน 1
บทที่ 284 เช่าที่ดิน 1
เช่าตรู่วันต่อมา เมื่อกู้หนิงอันเก็บข้าวของเสร็จและกำลังจะกลับไปยังหอหนังสืออวี้ กู้เสี่ยวหวานก็มีเรื่องจะคุยกับเขา ดังนั้นจึงเดินไปส่งเขา
“หนิงอัน ตอนนี้เจ้ากำลังเรียนหนังสืออยู่ที่หอหนังสืออวี้ น้องสาวก็กำลังเรียนปักผ้าอยู่ที่ร้านขายผ้าจี๋เสียง ในพวกเจ้าสามคน มีสองคนที่ค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบแล้ว เหลือเพียงหนิงผิง ข้าไม่รู้ว่าเขาชอบอะไร และช่วงนี้เขาก็ดูอารมณ์ไม่ค่อยดี ข้ารู้สึกเป็นกังวลใจ” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
กู้หนิงอันดูออกว่าในตอนกลางคืนที่กู้เสี่ยวหวานทดสอบว่าการเรียนของหนิงอันและเสี่ยวอี้แต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเห็นเขาอ่านบทกวี เขาเห็นพี่สาวก็มีท่าทีพึงพอใจ แต่ความโดดเดี่ยวในสายตาของกู้หนิงผิง กู้เสี่ยวหวานก็มองมันเห็นได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้กู้เสี่ยวอี้ การปักผ้าของนางดีกว่าครั้งแรกเป็นอย่างมาก กู้เสี่ยวหวานจึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่พี่ฝูกล่าวว่ากู้เสี่ยวอี้มีพรสวรรค์ในการปักผ้าหมายถึงอะไร เพิ่งเรียนมาสองครั้งแต่กลับปักได้ดีขนาดนี้
เมื่อกู้หนิงผิงเห็นว่าพี่ชายและน้องสาวต่างก็มีสิ่งที่ชอบ และกำลังพยายามอย่างหนักกับมัน ในอนาคตพวกเขาก็สามารถแบ่งเบาภาระของพี่สาวได้ ในใจของกู้หนิงผิงก็รู้สึกเศร้าเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ นิสัยของหนิงผิงค่อนข้างจะใจร้อน เขาทนเรียนหนังสือไม่ไหวจริง ๆ” กู้หนิงอันกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ เขายังเป็นกังวล ที่น้องชายไม่ไปเรียนและอยู่บ้านเพื่อปกป้องพี่สาวและน้องสาว นี่คงเป็นเหตุผลเพียงครึ่งหนึ่งของเขา เมื่อเห็นความหดหู่ใจของน้องชาย กู้หนิงอันจึงรู้สึกไม่สบายใจ
“ท่านพี่ เหตุใดไม่ลองส่งหนิงผิงไปเรียนการต่อสู้ล่ะ?” กู้หนิงอันดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
“ทำไมล่ะ?” ทันใดนั้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เรียนการต่อสู้อย่างนั้นหรือ?
“ท่านพี่ หนิงผิงเคยบอกข้าว่าในครั้งนั้นที่เฉาซื่อมารังแกท่านพี่ที่บ้าน เขาบอกว่าถ้าเขารู้ศิลปะการต่อสู้ เขาจะไปเอาคืนเฉาซื่อ ตอนนั้นเมื่อข้าเห็นความแน่วแน่ของน้องชายแล้ว ข้าจึงไม่คิดว่าเขาล้อเล่น!” กู้หนิงผิงกล่าว
“อย่างไรก็ตาม การเรียนการต่อสู้จะต้องลำบากมาก! เขาจะอดทนกับความยากลำบากเช่นนี้ได้หรือไม่” กู้เสี่ยวหวานกล่าว
“ท่านพี่ เหตุใดถึงไม่ลองถามเขาดูเล่า แล้วดูว่าหนิงผิงคิดอย่างไร?” กู้หนิงอันแนะนำ
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ตกลง คราวหน้าที่ข้าเข้าเมือง ข้าจะแวะไปที่หอศิลปะการต่อสู้และดูว่ามันเป็นอย่างไร”
หลังจากสองพี่น้องบอกลากัน
ครั้นกลับมาถึงบ้าน พวกกู้เสี่ยวหวานเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จ จากนั้นจึงได้ยินคนมาเคาะประตูข้างนอก กู้เสี่ยวหวานรู้สึกงงงวยมากว่าใครมาแต่เช้าตรู่?
เมื่อกู้หนิงผิงไปเปิดประตู เขาเห็นป้าจางและฉือโถวยืนยิ้มอยู่ข้างนอก และด้านหลังมีชายแปลกหน้าสองคน
กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ในห้องเห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินออกมา
“ท่านป้าจาง ทำไมถึงมาเร็วจังเจ้าคะ เข้ามานั่งข้างในเถอะ” กู้เสี่ยวหวานเดาได้ทันทีว่าป้าจางพาใครมาและกล่าวทันทีว่า “หนิงผิง รีบเข้าไปหยิบเก้าอี้มา”
ป้าจางเดินเข้ามาในลานบ้าน และเมื่อนางได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานต้องการจะคุยกันข้างนอก เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดนางจึงพยักหน้า สาวน้อยผู้นี้ทำได้ดี ถ้าพูดคุยกันข้างนอก คนที่ผ่านไปมาก็จะเห็นได้ชัดเจน แล้วถ้ามีคนผู้ใดที่นำเรื่องนี้ไปนินทาอีก นางจะลอกหนังของคนผู้นั้นออก
“สาวน้อยเสี่ยวหวาน ครั้งที่แล้วข้าได้บอกเจ้าหรือไม่? ข้ามีญาติห่าง ๆ ในเมืองหลิวเจียและพวกเขาต้องการเช่าที่ดิน ข้าจึงขอให้รีบมาคุย วันนี้พวกเขามาแล้วและต้องการคุยกับเจ้า” หลังจากทุกคนนั่งลง ป้าจางก็กล่าวขึ้น จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับชายทั้งสองว่า “นี่คือสาวน้อยที่ข้าบอกเจ้า ที่ดินห้าสิบหมู่นั้นเป็นของนาง”
เมื่อชายทั้งสองเข้ามาครั้งแรก พวกเขาแทบไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นสาวน้อยที่ออกมาต้อนรับพวกเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าผู้ใหญ่ออกไปทำงาน แต่นี่ก็นานแล้วและยังไม่เห็นเด็กพวกนี้ไปเรียกผู้ใหญ่เลย และเมื่อฟังที่ป้าจางกล่าว พวกเขาแสดงท่าทีประหลาดใจ
เมื่อเห็นการท่าทีประหลาดใจ กู้เสี่ยวหวานก็รู้ว่าพวกเขาคงไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของที่ดินจะเป็นแค่เด็ก หรือพวกเขาอาจคิดในใจว่าคนเหล่านี้กำลังโกหกพวกเขา
กู้เสี่ยวหวานต้องการให้คนมาเช่าที่ดินจริง ๆ และนางไม่ต้องการให้คนเหล่านี้มีข้อสงสัยใด ๆ ดังนั้นจึงกล่าวว่า “ท่านลุงทั้งสองคนไม่ต้องแปลกใจเจ้าค่ะ ท่านป้าจางพูดไม่ผิด ที่ดินห้าสิบหมู่เป็นของข้าจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อ ข้าสามารถแสดงโฉนดทางการให้ดูได้ในตอนนี้” หลังจากกล่าวจบ กู้เสี่ยวหวานก็เข้าไปในห้อง และนำโฉนดออกไปให้ทั้งสองดู พวกเขาดูและสัมผัสตราทางการอย่างระมัดระวังแล้วกล่าวว่า “เป็นของจริง เราเข้าใจเจ้าผิดเสียแล้ว”
เมื่อเห็นทั้งสองไม่มีความสงสัยแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็นั่งลงอีกครั้งและกล่าวว่า “ท่านลุงทั้งสองท่าน ข้าชื่อกู้เสี่ยวหวาน ไม่ทราบว่าพวกท่านแซ่อะไรหรือเจ้าคะ?”
ชายชราอ้วนเตี้ยกล่าวว่า “ข้าแซ่หลิว หลิวต้าจ้วง นี่คือน้องเขยของข้า เถาต๋า”
กู้เสี่ยวหวานทักทายด้วยรอยยิ้ม “คารวะท่านลุงหลิว คารวะท่านลุงเถาเจ้าค่ะ”
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าสองคนนี้มีผิวคล้ำ อาจเป็นเพราะพวกเขาทำงานตลอดทั้งปี และพวกเขาทั้งคู่ดูเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
ไม่ทันทีที่กล่าวทักทายจบ ลุงหลิวก็ยืนขึ้นทันทีและพยักหน้าให้นางอย่างตรงไปตรงมาและกล่าวว่า “โฮ่ ๆ สวัสดี สวัสดีสาวน้อย”
ลุงเถาก็ยิ้มอย่างมีความสุข “สวัสดีเช่นกันสาวน้อย!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนดูซื่อสัตย์ กู้เสี่ยวหวานก็โล่งใจมากที่จะให้บุคคลดังกล่าวเช่าที่ดิน นางจึงไม่อ้อมค้อมและเอ่ยถามไปตรง ๆ ว่า “พวกเรามาเข้าเรื่องกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านลุงหลิว ท่านลุงเถา ข้ามีที่ดินห้าสิบหมู่ให้เช่า ไม่ทราบว่าท่านต้องการเช่าเท่าไร? นานแค่ไหนเจ้าคะ?”
หลิวต้าจ้วงและเถาต๋าชำเลืองมองกันและกัน จากนั้นหลิวต้าจ้วงก็ประสานมือของเขาด้วยกันและกล่าวอย่างระมัดระวัง “สาวน้อย ข้าอยากจะถามว่า เจ้าจะเก็บค่าเช่าอย่างไร?”
พวกเขาได้ยินจากป้าจางว่าครอบครัวกู้เสี่ยวหวานต้องการให้เช่าที่ดิน และค่าเช่าก็ต่ำกว่าเจ้าของที่ดินทั่วไป แต่พวกเขาไม่รู้ว่านางจะคิดราคาค่าเช่าเท่าไร และไม่รู้ค่าเช่าขั้นต่ำ
เมื่อเห็นท่าทางที่ระมัดระวังของพวกเขา กู้เสี่ยวหวานก็รู้ถึงความยากลำบากของพวกเขา ดังนั้นนางจึงกล่าวว่า “ทุกปี ข้าจะเอารายได้ของท่านสามส่วนเป็นค่าเช่า และถ้าท่านประสบกับความอดอยาก ข้าจะเก็บแค่สองส่วน ท่านคิดว่าอย่างไร?”