ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 304 ผลตัดสิน
บทที่ 304 ผลตัดสิน
บทที่ 304 ผลตัดสิน
เหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์มีวิธีจัดการกับกู้เสี่ยวหวานและทำให้นางพูดไม่ออกอยู่แล้ว
วิธีที่ไม่สามารถทำให้กู้เสี่ยวหวานพลิกกลับมาชนะได้ แต่หลังจากการคำนวณทั้งหมด พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่านายท่านหวังจะมาที่นี่ เหลยต้าเซิ่งไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เพราะนายท่านหวังอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายร้อยลี้ เขาไม่ได้มีปีก แล้วจะมาทันในสามวันได้อย่างไร?
“ท่าน…ท่าน…ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?” เหลยต้าเซิ่งมีโอกาสเคยเดินทางไกลหลายร้อยลี้และรถม้าวิ่งไปโดยไม่หยุดพักก็ต้องใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน เป็นไปไม่ได้ที่นายท่านหวังจะมีตาที่สามรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่และรีบมาทันที
ฉินเย่จือมองจากระยะไกล และได้ยินคำถามของเหลยต้าเซิ่ง ฉินเย่จือจึงยิ้มเยาะ และอาโม่ก็เยาะเย้ย “นายท่าน เหลยต้าเซิ่งคิดไม่ถึงว่าเราจะใช้ม้าพันลี้*[1] ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน”
นายท่านหวังมองไปที่ร่างของเหลยต้าเซิ่งและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไม่อยากเห็นข้า! ข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้าเช่นกัน!”
เดิมทีนายท่านหวังเคยไปหาหมอเหลยมาก่อน เดิมทีเหลยต้าเซิ่งผู้นี้ไม่ได้เย่อหยิ่งนัก แต่หลังจากที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาเข้ารับตำแหน่งทางราชการในเมืองหลิวเจียเจิ้นเท่านั้น เขาก็มีท่าทีเย่อหยิ่ง จำนวนเงินในการไปพบหมอก็สูงกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
นายท่านหวังก็เคยเสียเปรียบให้เหลยต้าเซิ่งเช่นกัน ในตอนนั้นนายท่านหวังเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่เขากินยาและนอนอยู่บนเตียงนานกว่าสองเดือน เมื่อเขาคิดว่าเขากำลังจะตาย ขณะนั้น ชายหนุ่มที่เดินผ่านไปมาก็บอกว่า ถ้าเขาเลิกกินยานี้แล้วจะหายทันที
ในเวลานั้น นายท่านหวังก็ตระหนักได้ว่า เขาถูกเหลยต้าเซิ่งหลอก จากนั้นเขาจึงไปที่โรงหมอเพื่อคุยกับเหลยต้าเซิ่ง แต่เหลยต้าเซิ่งก็ไม่สนใจตนเองเลย จากนั้นเขาจึงไปที่หยาเหมินเพื่อฟ้องร้อง แต่หยาเหมินก็ไม่รับคำร้องนั้นอีก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รู้ว่าเจ้าหน้าที่ในหยาเหมินเป็นลูกพี่ลูกน้องของเหลยต้าเซิ่ง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะกล้าทำตัวเช่นนี้ เดิมทีเป็นเพราะมีคนคอยปกปิดมันไว้ แต่ตั้งแต่นั้นมานายท่านหวังก็เกลียดเหลยต้าเซิ่งเข้ากระดูกดำ
แต่วันนี้ไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น เรื่องในตอนนั้นเป็นเพียงความเกลียดชังส่วนตัวที่ถูกเหลยต้าเซิ่งหลอก ในวันนี้นายท่านหวังได้กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนแรก และทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นก็ได้ยินอย่างชัดเจน มีบางคนที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินเป็นของนายท่านหวังมาหลายสิบปี เมื่อพิจารณาจากหลักฐานจากทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลก็เป็นที่ชัดเจนว่าที่ดินผืนนี้เป็นของผู้ใด
แม้ว่าโฉนดที่ดินฉบับอื่นจะเป็นของจริง แต่มันมาจากไหน หลิวจือเสี้ยนยังต้องตรวจสอบอีก
“กล่าวให้แตกฉาน โฉนดนี้มาจากไหน?” หลิวจือเสี้ยนเคาะค้อนประธาน และเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งให้การเป็นพยานตกใจมากจนล้มลงกองกับพื้นทันที
“ข้าน้อย ข้าน้อย…” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเหลือบมองที่เหลยต้าเซิ่ง และเหลยต้าเซิ่งก็เหลือบมองมาที่เขาเช่นกัน แต่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ไม่พูดอย่างนั้นหรือ? อย่างนั้นก็โบยก่อนยี่สิบที” ทหารยามสองคนที่อยู่รอบตัวเขาก้าวออกไปทันที แต่ละคนถือไม้กระบองเตรียมจะโบย และเจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็สั่นเทาด้วยความตกใจ
ภายใต้การลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ จะยังไม่พูดอีกหรือ?
ถ้าถูกโบยยี่สิบที ถ้าคนผู้นี้ไม่ตาย ผิวหลังก็คงจะหลุดออก
กู้เสี่ยวหวานที่อยู่ด้านข้างมองอย่างเย็นชา นางไม่รู้สึกสงสารคนผู้นี้เลย ตามคำกล่าวที่ว่า คนเรายอมมีความผิดของตนเอง และคนที่กล่าวเท็จก็สมควรได้รับบทลงโทษเช่นกัน
“ไม่ ไม่ ไม่ นายท่าน ข้าจะพูด…” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นมองดูไม้ที่ทั้งกว้างและหนา ถ้าถูกโบยด้วยไม้นี้ยี่สิบที ถ้าไม่ตายก็ต้องพิการอยู่ดี
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป แม้ว่ากลับไปแล้วจะถูกไล่ออก แต่ก็ยังดีกว่าเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่!
“นายท่าน เหลยต้าเซิ่งติดสิบบนข้าสิบตำลึงเงินเพื่อให้ข้ากล่าวเช่นนั้นขอรับ!” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นน้ำมูกน้ำตาไหลและกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “ครอบครัวข้ามีแม่อายุเจ็ดสิบปี และข้ายังมีลูกอายุไม่ถึงสามขวบ ครอบครัวข้าต้องใช้เงิน ดังนั้นข้าน้อยจึงยอมรับสินบนจำนวนสิบตำลึงเงินนี้และมาให้การเท็จ!” เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้นั้นกล่าวจบ เขาก็คลานมาที่ด้านหน้าของกู้เสี่ยวหวาน และคำนับ “แม่นางกู้ ท่านพี่ข่ง ข้าผิดไปแล้ว เป็นเพราะข้าโลภเกินไปจึงได้รับเงินสินบนของเหลยต้าเซิ่งและมาให้การเท็จ นายท่าน โฉนดที่ดินที่ข่งฟางนำไปให้กู้เสี่ยวหวานคือโฉนดทางการที่ข้าเป็นคนออกให้ สองสามวันต่อมาเหลยต้าเซิ่งก็นำเงินยี่สิบตำลึงเงินไปให้นายกเทศมนตรีเพื่อให้เขามากดดันข้าและให้ข้าออกโฉนดทางการให้เขา เขากล่าวกับข้าว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ ถ้ามีผู้ใดถามก็ให้บอกไปว่าที่ดินผืนนี้เป็นของเหลยต้าเซิ่ง”
“เจ้าเมืองของเจ้า? หูฉีหรือ?” เห็นได้ชัดว่าหลิวจือเสี้ยนนั้นรู้จักหูฉีอยู่แล้ว และเมื่อเขาเอ่ยชื่อนี้ คิ้วของเขาก็ขมวด
“ใช่ ใช่ ใช่ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ในเมืองของข้า!” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นก้มหน้าและกล่าวขึ้น
“ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยเหลยต้าเซิ่งกับหูฉีเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นี่…” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อได้ยินหลิวจือเสี้ยนพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา จากนั้นจึงรีบกล่าวว่า “ข้าได้ยินเหลยต้าเซิ่งเรียกเจ้ามืองของข้าว่า ลูกพี่ลูกน้อง!”
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง!” หลิวจือเสี้ยนหัวเราะอย่างเย็นชา เมื่อเหลยต้าเซิ่งเห็นเช่นนั้นก็ขนลุกไปทั่วทั้งตัว และเหงื่อเย็นเยียบไหลซึมทั่วร่างกาย
“ไม่แปลกใจเลย ที่แท้ก็เป็นญาติกัน เลยร่วมมือกันแย่งที่ดินของคนอื่น! ใช่แล้ว การที่ผู้มีอำนาจและรังแกเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”
“ไม่ได้ยินหรือ ซุนซีเอ๋อร์ผู้นั้นก็ยังเป็นป้าของเด็กผู้หญิงผู้นี้อีก ครอบครัวร่วมมือกับคนนอกเพื่อรังแกครอบครัวของตัวเอง จะมีป้าที่ใจร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“ใช่แล้ว ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน”
“ไร้ยางอายจริง ๆ”
ซุนซีเอ๋อร์ก้มหน้าไปกับพื้น และแนบใบหน้าไว้ที่หน้าขา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเพราะกลัวว่าจะมีใครรู้จักนาง และเมื่อข่าวนี้กระจายไปที่เมืองหลิวเจีย ชีวิตของนางก็จะจบลง!
หลิวจือเสี้ยนลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดัง “ข้าเชื่อว่าทุกคนเห็นชัดเจนแล้วว่า เดิมทีที่ดินผืนนี้เป็นของโจทก์ แต่ถูกจำเลยใช้อำนาจและยืมมือทางการเพื่อแย่งที่ดินของนางไป ช่างน่ารังเกียจเสียจริง” หลิวจือเสี้ยนนำโฉนทางการของเหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์ออกมา เดินไปที่โถงและถือให้ทุกคนเห็น จากนั้นจึงฉีกโฉนดทางการทั้งสองฉบับนั้นต่อหน้าทุกคนและโยนใส่ศีรษะของเหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์
หลิวจือเสี้ยนกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง หยิบโฉนดทางการของกู้เสี่ยวหวานออกมา และเอื้อมมือไปช่วยพยุงกู้เสี่ยวหวานขึ้นแล้วกล่าวว่า “สาวน้อยกู้ นี่เป็นของของเจ้า! ตอนนี้คืนที่ดินให้กับเจ้าของเดิม ในอนาคตที่ดินผืนนี้จะเป็นของกู้เสี่ยวหวาน ถ้ายังมีคนที่โจมตีเจ้าอีก ข้าผู้นี้จะไปเอาเรื่องผู้นั้นเป็นคนแรก!”
กู้เสี่ยวหวานโค้งคำนับขอบคุณ “ขอบคุณนายท่านหลิวเจ้าค่ะ!”
*[1] หมายถึงม้าที่วิ่งเก่งและสามารถเดินทางได้หลายพันไมล์ต่อวัน