ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 313 เสี่ยวอี้ถูกทำร้าย
บทที่ 313 เสี่ยวอี้ถูกทำร้าย
บทที่ 313 เสี่ยวอี้ถูกทำร้าย
กู้หนิงอันกำลังเก็บข้าวของ เดิมทีเขาคิดว่าจะกลับบ้านพรุ่งนี้เช้า แต่เมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวานก็รู้ได้ว่า นางคงเข้ามาทำธุระในเมือง และเมื่อทำธุระเสร็จก็ยังไม่ได้กลับบ้านแต่อย่างใด กลับมารออยู่ข้างนอกเพื่อรับเขากลับบ้านไปด้วยกัน
กู้หนิงอันตื่นเต้นมากจึงรีบเก็บของทั้งหมด และเดินตามพี่สาวออกไป
สวีเฉิงเจ๋อก็ยืนส่งสองพี่น้องอยู่หน้าประตู
เมื่อสักครู่ ฉินเย่จือได้ยินคำพูดของพวกเขาทั้งหมด ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะเป็นห่วงกู้เสี่ยวหวานถึงขนาดนี้ ฉินเย่จือรู้สึกหดหู่เล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานเรียกพี่เฉิงเจ๋อด้วยน้ำเสียงมีความสุข ฉินเย่จือก็รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก
ดวงตาของฉินเย่จือมืดมนลงและเกิดความคิดที่อธิบายไม่ได้ในใจ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าหอหนังสืออวี้แห่งนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจ และในอนาคตจะมาที่นี่ให้น้อยลง
ทุกคนขึ้นบนเกวียนวัว สวีเฉิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างก็ยังคงเตือนกู้เสี่ยวหวาน “เสี่ยวหวาน เจ้าต้องระวังให้มากขึ้น และอย่าปล่อยให้คนที่อยู่รอบข้างมารังแกเจ้าอีก”
“ข้าเข้าใจแล้ว พี่เฉิงเจ๋อ!”
ฉินเย่จือนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ เสียงของสวีเฉิงเจ๋อนั้นค่อนข้างดัง เป็นพราะเขาพูดเสียงให้ดังขึ้น ต่อให้ฉินเย่จือใช้เท้าคิดก็สามารถรู้ได้ว่าผู้ที่คนที่อยู่ด้านข้างรถกล่าวถึงคือใคร
จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากตัวเขาเอง
ฉินเย่จือตั้งใจฟังคำพูดของทั้งคู่ด้วยท่าทีที่สง่างาม ทุกประโยคและถ้อยคำของสวีเฉิงเจ๋อล้วนบอกให้กู้เสี่ยวหวานดูแลตัวเองให้ดี ฉินเย่จือฟังจนรำคาญและหันกลับไปมองหน้าสวีเฉิงเจ๋อด้วยความไม่พอใจ
คำพูดเหล่านั้นของสวีเฉิงเจ๋อล้วนพูดเพื่อให้ฉินเย่จือได้ยิน และเมื่อเห็นเขาหันมามองตนเอง สวีเฉิงเจ๋อก็รีบหันไปสบตา แต่ใครจะไปรู้ว่าฉินเย่จือจะไม่หวาดกลัวเลย จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับไปราวกับว่าสายตาที่เขาชำเลืองมองมา เป็นสายตาที่มองมาที่สวีเฉิงเจ๋อโดยไม่ได้ตั้งใจ
สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกท้อใจ และคิดว่าความคิดของคนผู้นี้ลึกจนยากที่จะหยั่งถึง
ฉินเย่จือไม่สนใจว่าสวีเฉิงเจ๋อจะกล่าวจบแล้วหรือไม่ เขาจับสายบังเหียนวัวและฟาดแส้ใส่มันเบา ๆ จากนั้นวัวก็สะบัดหางของมัน และเดินจากไปทีละก้าว
วัวเดินไม่เร็วนัก แต่ในเมื่อพวกนางไม่ได้เดินด้วยเท้าของตนเอง กู้เสี่ยวหวานจึงไม่สนใจว่าจะเร็วหรือช้า
แค่กลับบ้านทันก่อนฟ้ามืดก็พอแล้ว
กู้เสี่ยวหวานซื้อขนมมาจากในเมืองหลิวเจียมาเล็กน้อยเพราะกลัวว่าทุกคนจะหิว เมื่ออกเดินทางมาได้สักพักนางก็หยิบขนมขึ้นมาแบ่งให้ทุกคน ทุกคนพูดคุยหัวเราะพลางกินขนมไปด้วย จึงไม่คิดว่าวัวเดินช้าอีกต่อไป
เมื่อกลับถึงหมู่บ้านอู๋ซี พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว
หลังจากกลับถึงบ้าน กู้หนิงผิงและฉินเย่จือก็นำเกวียนวัวไปคืนที่บ้านของป้าจาง และนำขนมโก๋ไปด้วยหนึ่งกล่อง
หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ กู้เสี่ยวหวานก็ไปคำนวณบัญชีที่โต๊ะ
การเข้าเมืองหลิวเจียในวันนี้ ตุ๊กตาเหล่านั้นขายได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน หักค่าวัสดุไปสี่สิบตำลึงเงินและหักค่าทำเสื้อผ้าให้ฉินเย่จืออีกเจ็ดตำลึงเงิน ก็จะเหลือเงินทั้งหมดร้อยกว่าตำลึงเงิน
นับตั้งแต่วันที่กู้เสี่ยวหวานซื้อที่ดิน นางได้หัดจดบัญชีจนเป็นนิสัย หลังจากนับอย่างถี่ถ้วนก็พบว่านางมีเงินประมาณสามถึงสี่ร้อยตำลึงเงินแล้ว เมื่อมีเงินจำนวนมาก ทุกคนก็มีความสุข ทั้งพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน และคิดกันว่าจะเก็บไว้หรือนำมันไปทำอะไรดี
กู้เสี่ยวหวานคิดไว้สองทาง เมื่อมองไปในบ้านที่ทรุดโทรมและมุมห้องที่ฉินเย่จือนอนอีก ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานยังเด็กจึงยังไม่มีความคิดที่รอบคอบมากเท่าไร แต่ในอนาคตอีกปีถึงสองปีนางก็จะโตขึ้น พวกกู้หนิงผิงก็จะโตขึ้นเช่นกัน เช่นนี้การมีห้องเดียวก็คงไม่พอ ดูเหมือนว่าถ้ามีอีกห้องคงจะดีมากกว่า
โชคดีที่ด้านหลังห้องยังมีที่ว่าง ถ้าใช้ที่ตรงนั้นสร้างอีกห้องก็คงจะได้
กู้เสี่ยวหวานคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ในตอนนี้ยังไม่รีบร้อนเรื่องการสร้างห้องเพิ่ม
สองคือวางแผนว่าจะไปซื้อที่ดินเพิ่ม ถ้าวันไหนต้องการซื้อก็ต้องไปที่บ้านของข่งฟางอีกครั้ง
ชีวิตของครอบครัวกู้เสี่ยวหวานดำเนินไปด้วยดี หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงยังบอกกับคนทั้งหมู่บ้านว่าไม่ควรไปรังควานครอบครัวกู้เสี่ยวหวานอีก ผู้คนในหมู่บ้านจึงไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรกับครอบครัวของนางอีก
แต่อย่างไรก็ตาม มีคนบางพวกที่ตาสูงแต่มือไม่ถึง*[1] ที่ปกติจะชอบมาดูถูกครอบครัวกู้เสี่ยวหวาน เมื่อพบกันทีไรก็จะเยาะเย้ยถากถาง แต่ครั้งนี้เมื่อพวกเขารู้ว่ากู้เสี่ยวหวานซื้อที่ดินใกล้เมืองหลิวเจียห้าสิบหมู่ คนพวกนั้นก็อิจฉาตาร้อนที่ครอบครัวกู้เสี่ยวหวานร่ำรวยขึ้นมา ในใจพวกเขาทั้งอิจฉาทั้งริษยา
ไม่เคยคิดเลยว่าครอบครัวที่จนที่สุดในหมู่บ้านอู๋ซีอย่างครอบครัวกู้เสี่ยวหวาน จะกลายมาเป็นเศรษฐีในหมู่บ้านได้
พวกคนที่อิจฉาบางคนก็มักจะหาเรื่องมายั่วยุกู้เสี่ยวหวาน
ในวันนี้กู้เสี่ยวอี้ออกไปข้างนอก ช่วงไม่กี่วันมานี้นางชอบไปที่สวนดอกไม้เพื่อชมดอกไม้และดูสิ่งมีชีวิต เช่น ผีเสื้อ แมลงปอ และอื่น ๆ นี่คือสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานสอนนางมา หากนางต้องการปักให้สมจริงยิ่งขึ้นก็ต้องออกไปสังเกตรายละเอียดให้มากขึ้น
หลังจากที่กู้เสี่ยวอี้ฟังคำพูดของพี่สาว นางก็จะใช้เวลาเล็กน้อยในทุก ๆ วันในการเดินไปบริเวณรอบ ๆ ย่านนี้
ในวันนี้ กู้เสี่ยวอี้ก็ออกไปเดินตามปกติเช่นเคย กู้เสี่ยวหวานที่กำลังทำความสะอาดบ้านจึงไม่สนใจนางมากนัก แค่บอกให้นางกลับมาเร็ว ๆ จากนั้นกู้เสี่ยวอี้ก็กระโดดออกไปอย่างร่าเริง
กู้หนิงผิงก็ออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับฉินเย่จือ
กู้เสี่ยวหวานที่กำลังทำความสะอาดบ้านอย่างมีความสุข ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของกู้เสี่ยวอี้ดังมาจากข้างนอก
กู้เสี่ยวหวานตกใจ พลันทิ้งของในมือและวิ่งออกไปทันที ในขณะนั้นกู้เสี่ยวอี้ที่กำลังร้องไห้ก็เพิ่งเปิดประตูและเดินเข้ามา
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่ามีคราบฝุ่นและน้ำตาบนใบหน้าของนาง ก็พลันรู้สึกเสียใจมาก
หัวใจของกู้เสี่ยวหวานเต้นผิดจังหวะ และดึงกู้เสี่ยวอี้มากอดไว้ทันที
“เสี่ยวอี้ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมตัวของเจ้าถึงมีแต่โคลนเช่นนี้ แล้วนี่แขนของเจ้าเป็นอะไร?” กู้เสี่ยวหวานยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นคราบเลือดบนแขนเสื้อของกู้เสี่ยวอี้
“ท่านพี่ ฮือ ๆ กุ้ยชุนเจียวกับกุ้ยตงเหมยมาแย่งผ้าเช็ดหน้าในมือข้า พอข้าไม่ให้นางก็ผลักข้า” กู้เสี่ยวอี้เล่าขณะที่น้ำตานองหน้า “มือของข้าไปขูดกับก้อนหิน ท่านพี่ มันเจ็บมากเลย”
กุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมย ทั้งสองเป็นลูกสาวของกุ้ยซื่อ คนโตอายุสิบเอ็ดปีและคนรองอายุเก้าขวบ
ทั้งสองล้วนโตกว่ากู้เสี่ยวอี้ แต่ก็ยังกล้ามาแย่งของของกู้เสี่ยวอี้ตามใจชอบ
กู้เสี่ยวหวานตรวจสอบร่างกายของกู้เสี่ยวอี้อย่างประหม่า แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่านอกจากแผลเล็ก ๆ ในมือของนางแล้ว ก็ไม่มีการบาดเจ็บที่จุดสำคัญอื่น ๆ
*[1] มีเป้าหมายที่สูงส่ง แต่มีความสามารถน้อยนิด