ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 340 ไม่กล้ายั่วยุเสี่ยวหวาน
บทที่ 340 ไม่กล้ายั่วยุเสี่ยวหวาน
บทที่ 340 ไม่กล้ายั่วยุเสี่ยวหวาน
“วันนี้ชาวบ้านมาที่นี่และพูดว่าพวกเรามักจะใช้ของในหมู่บ้านเพื่อความมั่งคั่งของตนเอง”
“ตอนนี้ทุกบ้านต่างเอะอะกับการไปที่ภูเขาเพื่อโค่นต้นไม้ โดยบอกว่าถ้าครอบครัวจางตัดต้นไม้หนึ่งต้น พวกเขาจะตัดต้นไม้สิบต้น ถ้าพวกเขาทำเช่นนั้นจริง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องกลายเป็นภูเขาหัวโล้นแน่ และเมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าดินจะต้องถล่มแน่!” ลุงจางกล่าวอย่างกังวล
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วถ้าให้เงินไปล่ะ?”
“เงินหรือ? เราไม่สามารถจ่ายในราคาที่เขาเรียกร้องมาได้ ถ้าอยู่ในเมือง ไผ่สำเร็จรูปหนึ่งต้นราคาไม่เกินยี่สิบเหรียญ แต่ชาวบ้านบอกว่าถ้าเราไปตัดมัน หนึ่งต้นจะราคาห้าสิบเหรียญ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็คิดว่าคนเหล่านี้ไร้ยางอายจริง ๆ
ไผ่หนึ่งต้นที่ลุงจางตัดมาสามารถทำกล่องไม้ไผ่ได้สิบกว่ากล่อง และจะขายได้มาเพียงหนึ่งร้อยกว่าเหรียญเท่านั้น แค่ต้นเดียวก็เสียเงินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ช่างเป็นราคาที่สูงเสียจริง
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานบิดเบี้ยวและสบถออกมา “ช่างโลภมากเสียจริง!” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็กล่าวต่อว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง พวกท่านไปซื้อไผ่ในเมืองก็ได้ ถ้าจะไปซื้อก็ซื้อสักหนึ่งเกวียนกลับมา ถ้าซื้อเยอะร้านก็จะจัดส่งให้แน่นอน หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว ไผ่หนึ่งต้นคงราคาไม่เกินยี่สิบเหรียญอย่างแน่นอน”
“สาวน้อยเสี่ยวหวาน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเสียเงินเยอะ!” ลุงจางถอนหายใจ เขาเองก็อยากเข้าเมืองเพื่อซื้อไผ่ เช่นนั้นจะได้ไม่เสียเงินมาก แต่คนในหมู่บ้านก็คงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ดี “ชาวบ้านที่เห็นว่าครอบครัวจางของเราตอนนี้ร่ำรวยและมั่งคั่งแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกอิจฉา”
ลุงจางกล่าวว่า “ในหมู่บ้านอู๋ซี ยกเว้นคนที่มีเงินเพียงเล็กน้อย ที่นี่เหลือเพียงบ้านหลังเก่า และพวกเขาทั้งหมดย้ายไปอยู่ในเมือง แต่ตอนนี้ผู้คนในหมู่บ้านมีฐานะครอบครัวเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าครอบครัวจางขนสินค้าออกไปเมื่อไร พวกเขาก็จะแอบนินทากันลับหลังว่าพวกเราไปหาเงินมาได้เท่าไร!”
“ก็นั่นน่ะสิ เมื่อวานตอนที่ไปซักผ้าก็ได้ยินหญิงสาวในหมู่บ้านนั่งพูดพล่ามว่าเรายึดของในหมู่บ้านไปเพื่อทำเงินให้ครอบครัว และยังไม่ให้เงินแก่หมู่บ้านอีก เช่นนี้จะเรียกตนเองว่าเป็นคนในหมู่บ้านได้อย่างไร!” ป้าจางทำหน้าเหยเก ไม่เข้าใจคนเหล่านั้นเลยจริง ๆ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงของไร้ประโยชน์ที่อยู่บนภูเขา แล้วพวกเขาเห็นโอกาสทางการค้าและนำมาสร้างรายได้ แต่เมื่อทุกคนเห็นก็กลับอิจฉาตาร้อนและสวมรองเท้าเล็ก*[1] ให้พวกเขา กว่าจะหาเงินมาได้มันไม่ง่ายนะ!
“พวกเขายังบอกอีกว่า วันนี้ถ้าเราไม่ให้เงิน ต่อจากนี้เราจะไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนย้ายสิ่งของบนภูเขาลูกนี้ ข้าคิดว่าในเร็ว ๆ นี้จะสามารถขุดหน่อไม้ฤดูหนาวได้ และบอกท่านแม่ว่าฤดูหนาวนี้จะสามารถหาเงินได้เพิ่มได้อีก แต่วันนี้พวกเขากลับมาบอกว่าเราไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเขาเพื่อขุดหน่อไม้ หากเห็นจะถูกยึด!”
“พวกเขาเป็นหัวขโมยของจริง!” กู้เสี่ยวหวานโกรธมาก
คนกลุ่มนี้สนใจแต่วิธีการหาเงินของคนอื่น แต่ไม่คิดจะหาเงินเองและใช้เวลาทั้งวันเพื่อคิดหาวิธีหาฉกฉวยจากคนที่หาเงินได้ และขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทำเงิน
เมื่อเห็นท่าทางที่กังวลและหมดหนทางของครอบครัวจาง กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเป็นทุกข์เล็กน้อย จึงปลอบโยนอย่างรวดเร็ว “ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง อย่ารีบร้อน พวกเราค่อย ๆ มาหาวิธีด้วยกันเถอะ!”
ทันใดนั้น ฉือโถวก็ยืนขึ้นทันทีและกล่าวเสียงดังว่า “ท่านพ่อท่านแม่ คนในหมู่บ้านนี้จงใจไม่ให้เราทำเงินอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่พูดแบบนั้น ถ้าพวกเขาไม่ให้เราขึ้นภูเขา แล้วเราจะหาเงินไปอย่างไร!”
“ในวันนี้เกรงว่าหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงจะเป็นผู้นำใช่หรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถาม
นางจำได้แม่นว่าระหว่างทางไปขุดหน่อไม้บนภูเขา หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงมีสีหน้าบูดบึ้ง และยังกล่าวอีกว่าถ้ามีวิธีหาเงินก็ควรจะบอกคนในหมู่บ้านด้วย ในวันนี้ดูเหมือนว่าคนที่เป็นผู้นำในการสร้างปัญหาจะต้องเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงอย่างแน่นอน
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานคิดไม่ผิด หลังจากที่ครอบครัวกู้และครอบครัวจางสร้างรายได้จากการพึ่งพาสิ่งของบนภูเขา หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็อยากจะมาหา
คนแรกที่เขาต้องการข่มขู่ อันที่จริงควรจะเป็นครอบครัวของกู้เสี่ยวหวาน
แต่ครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานเปลี่ยนไปมาก
เด็กทุกคนสวมเสื้อผ้าใหม่และกู้หนิงอันก็ได้ไปสำนักศึกษา ครอบครัวนี้จะต้องมีเงินอย่างแน่นอน! ถ้าไม่มีเงินก็คงจะกินไม่อิ่ม ไม่เช่นนั้นเด็กผู้ชายในหมู่บ้านถึงมีเพียงแค่กู้หนิงอันที่ได้ไปสำนักศึกษา!
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงรู้สึกเหมือนลูกแมวกำลังข่วนหัวใจของเขา การได้เห็นคนอื่นดีมีชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ และทำเงินได้ ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เลยจริง ๆ
เมื่อตอนที่คิดว่าจะไปหาเรื่องกู้เสี่ยวหวาน ก็ได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานมีคดีการแย่งชิงที่ดินที่เมืองรุ่ยเสียน และต่อมาก็ได้ยินคนพูดกันว่าผู้พิพากษากล่าวว่า หากกู้เสี่ยวหวานมีปัญหา นางสามารถไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้
ทันทีที่คำพูดเช่นนี้มาถึงหูของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียง มันก็เหมือนกับกฎหมาย เขาเป็นเพียงหัวหน้าหมู่บ้านเล็ก ๆ และส่วนใหญ่เขาดูแลแค่หลายสิบครอบครัวในหมู่บ้านเท่านั้น แต่นายกเทศมนตรีต่างออกไป เขาดูแลคนหลายหมื่นคนในเมืองรุ่ยเสียน เขาเป็นขุนนางระดับสูง!
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่หลายวัน และตัดสินใจว่า จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ไปยุ่งวุนวายกับกู้เสี่ยวหวาน และยังบอกครอบครัวว่าอย่ายั่วยุครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานอีก ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไรที่เด็กคนนี้คนเปลี่ยนไป และการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและหวาดกลัว!
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องน่าเบื่อนี้ได้ แทนที่จะไปหากู้เสี่ยวหวาน เขาจึงไปหาครอบครัวจางที่ร่ำรวยพอ ๆ กับกู้เสี่ยวหวานแทน
เมื่อเห็นว่าฉือโถวมักจะขับเกวียนไปเอาไม้ไผ่กลับมา และมักจะขับเกวียนที่เต็มไปด้วยกล่องไม้ไผ่ออกไป หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
สิ่งนี้สามารถทำเงินได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นในหมู่บ้านก็มีคนที่กลับมาจากการไปหาเงินข้างนอก เขากลับมาจากเมืองรุ่ยเสียนพร้อมกับกล่องขนม กล่องขนมนั้นคล้ายกับกล่องไม้ไผ่ที่ฉือโถวขนออกไปเป็นอย่างมาก
หลังจากถามอย่างละเอียดแล้วก็พบว่ากล่องไม้ไผ่นี้ขายกล่องละสิบเหรียญ หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก เหมือนน้ำขึ้นที่ไม่มีทางไหลย้อนกลับ
กล่องละสิบเหรียญ ในเกวียนหนึ่งเล่มเกรงว่าจะมีเป็นพันกล่องขึ้นไป ในเกวียนหนึ่งเล่มก็เป็นเงินสิบตำลึงเงิน ไม่กี่เดือนมานี้ไม่รู้ว่าพวกเขาขนไปแล้วกี่เล่มเกวียน ทั้งหมดนั่นคือเงิน!
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงแทบรอไม่ไหวที่จะวิ่งไปที่บ้านของฉือโถวในทันที และขอให้พวกเขานำเงินออกมา
อย่างไรก็ตาม กล่องไม้ไผ่นี้ถูกทำขึ้นโดยคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และไม้ไผ่ที่ใช้ทำสิ่งนี้ก็เป็นของสาธารณะในหมู่บ้านเช่นกัน หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงรู้ว่าถ้าเขาใช้วิธีที่ไร้เหตุผล คงจะทำให้ครอบครัวจางโกรธอย่างแน่นอน หากทำให้ครอบครัวจางโกรธก็เท่ากับว่าเขาทำให้กู้เสี่ยวหวานโกรธเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้น ถ้ากู้เสี่ยวหวานไปแจ้งความขึ้นมา…
*[1] ใช้อำนาจบางอย่างในการหาโอกาสที่จะทำให้คนเดือดร้อน