ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 358 เหน็บแนมอีกแล้ว
บทที่ 358 เหน็บแนมอีกแล้ว
บทที่ 358 เหน็บแนมอีกแล้ว
“แล้วเจ้าคิดว่าจะนานแค่ไหน? ตอนนี้ข้าไม่แม้แต่จะเอาเงินสักเหรียญหรือสองเหรียญมาจากพี่เขยของเจ้าเลยด้วยซ้ำ” เฉาซินเหลียนคิดเรื่องนี้ และกล่าวอย่างโกรธเคือง “ในตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์นั้น ข้าคงไม่ต้องมายุ่งกับเจ้า”
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการให้ทั้งครอบครัวของตนเองมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เฉาซินเหลียนคงไม่ต้องคิดวิธีการชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้นมา
ในตอนนั้น บ้านและที่ดินทั้งหมดอยู่ในมือของนาง แต่หลังจากสองปี ความมั่นคงทั้งหมดถูกก็กู้ฉวนโซ่วริบไป การเก็บเกี่ยวทั้งหมดในทุ่งนาขณะนี้ก็อยู่ในมือของกู้ฉวนโซ่วเช่นกัน
ปีนี้เป็นปีที่อุดมสมบูรณ์ ที่ดินกว่าสิบหมู่จึงเก็บค่าเช่าได้จำนวนมาก กู้ฉวนโซ่วขายทุกอย่างและเหลือของกินไว้เล็กน้อย และนางก็ไม่รู้ว่าเขาขายมาได้กี่ตำลึงเงิน
เฉาซินเหลียนประหลาดใจที่เห็นกู้ฉวนโซ่วบรรทุกอาหารออกไปเรื่อย ๆ แต่นางไม่เห็นแม้แต่สักตำลึงเงินเดียว นางโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา
เช่นเดียวกับเครื่องประดับเงินและทองของนาง กู้ฉวนโซ่วก็นำเครื่องประดับเหล่านั้นไปทั้งหมด
เฉาซินเหลียนรู้สึกคับข้องและขุ่นเคืองในใจ ตอนนี้ชีวิตของนางเป็นแบบไหนกัน!
ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะผ่านไปอย่างยากลำบากเท่านั้น แต่นางยังเป็นหนี้เงินเฉาฮุยเป็นจำนวนมากอีกด้วย เพื่ออะไรน่ะหรือ นางต่อสู้เพื่อบ้านและที่ดินในครอบครัว ถ้าไม่ใช่เพราะนางในตอนนั้น ที่ดินมากกว่าครึ่งหนึ่งจะถูกแบ่งออกไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ในวันนี้พวกเขาจะยังมีชีวิตที่ดีเช่นนี้หรือไม่?
ไม่จำเป็นต้องทำงานในสวนทุกวัน ตราบใดที่การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ชาวนาผู้เช่าก็จะมาที่บ้านเพื่อจ่ายค่าเช่าให้ ด้วยค่าเช่าจำนวนนี้ทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
และยังมีบ้านหลังใหญ่อีก!
ยิ่งเฉาซินเหลียนคิดเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้การแล้ว นางต้องการทั้งหมดนี้คืน แล้วทำไมกู้ฉวนโซ่วจึงครอบครองมันทั้งหมดล่ะ ไม่ได้การแล้ว!
เงินสามร้อยตำลึงเงินนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร กู้ฉวนโซ่วก็ต้องจ่ายมัน!
แต่จะให้เขาจ่ายอย่างไรล่ะ?
ของมีค่าทั้งหมดในครอบครัวเป็นของกู้ฉวนโซ่ว แล้วนางจะหาเงินมากขนาดนี้มาจากไหนกัน
เฉาซินเหลียนมีแผนการบางอย่าง แต่เมื่อนางคิดว่าต้องจ่ายเงินสามร้อยตำลึงเงินในคราวเดียวเพื่อปิดปากเฉาฮุย และในอนาคตนางก็ไม่ต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีก ในใจนางจึงรู้สึกโลดแล่นเล็กน้อย
เงิน เงิน เงิน ในสายตาของเฉาซินเหลียนวันนี้ เงินสามร้อยตำลึงเป็นอุปสรรค หากข้ามผ่านมันไปได้แล้ว นางก็จะหลุดพ้น
“หลังจากที่มอบเงินให้เจ้าแล้ว เจ้าก็อย่ามาพูดถึงเรื่องนี้อีก และต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เฉาซินเหลียนกล่าวอย่างชั่วร้าย
“ท่านพี่ อย่ากังวลไปเลย ตราบใดที่ท่านให้เงินข้าสามร้อยตำลึงเงินในครั้งเดียว ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีกเลย” เฉาฮุยกลัวว่าเฉาซินเหลียนจะไม่เชื่อเขา ดังนั้นเขาจึงสาบานทันที “ถ้าข้ากล้าพูดเรื่องนี้กับคนอื่นแม้แต่คำเดียวก็ขอให้ข้าถูกฟ้าผ่าตาย”
เมื่อเฉาซินเหลียนเห็นว่าเฉาฮุยสาบาน หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสองก็ยังคงเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นเขาคงไม่พูดเรื่องนี้ออกไป แม้ว่าเขาจะพูดออกไป มันก็ไม่ใช่นางคนเดียวที่โชคร้าย เฉาฮุยก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
“พวกเราพี่น้องเป็นตั๊กแตนบนเชือก*[1] หากข้าสบายเจ้าก็จะสบาย หากเจ้าพูดเรื่องไร้สาระข้างนอกก็อย่ามาโทษพี่สาวของเจ้าที่โหดร้าย ถ้าข้าตาย ข้าก็จะดึงเจ้าลงไปตายด้วยกัน” เฉาซินเหลียนกล่าวอย่างโหดร้าย หลังจากกล่าวประโยคนี้จบนางก็กลับไปที่หมู่บ้านอู๋ซี
หลังจากพักอยู่ที่บ้านพ่อแม่มานานกว่าสิบวันแล้ว เฉาซินเหลียนก็ลืมกู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเฉาซินเหลียนเห็นลูกสองคนของนางก็จำได้ว่า นางเหลืออาหารไว้ให้ลูกสองคนนี้ที่บ้านเพียงสองวัน?
เฉาซินเหลียนมองดูลูกทั้งสองที่หิวโหยและผอมแห้งของนาง นางจึงร้องไห้ออกมาทันที “โอ้สวรรค์ นี่ข้าทำอะไรลงไป!”
เฉาซินเหลียนโอบกอดกู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีไว้ และอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
เมื่อเห็นท่าทางที่เศร้าสร้อยของมารดา กู้ถิงถิงก็รู้สึกเศร้าเช่นกัน นางจึงร้องไห้ในอ้อมแขนของเฉาซินเหลียน
อย่างไรก็ตาม เฉาซินเหลียนยังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง เมื่อนางคิดว่าอยู่ที่นั่นมานานกว่าสิบวันแล้ว และไม่รู้ว่าเด็กสองคนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร เด็ก ๆ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง และมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวออกมาจากร่างกาย
“ในช่วงเวลานี้พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? หืม? ทำไมถึงดูหิวเช่นนี้?” เฉาซินเหลียนกล่าวอย่างลำบากใจพลางดึงลูกสองคนของนางออกมาจากอ้อมอก
เด็กทั้งสองคือก้อนเนื้อที่ออกมาจากร่างกายของนาง เมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองตอนนี้ผอมและหน้าซีดเซียว ครั้นคิดว่าลูกทั้งสองคงจะไม่ได้กินอาหารอย่างเต็มที่ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นางก็ตำหนิตัวเองในใจ
แต่หลังจากโทษตัวเองแล้วก็พลันรู้สึกโกรธขึ้นมา “พ่อพวกเจ้าล่ะ? พ่อของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”
“ท่านแม่ หลังจากที่ท่านออกไป ท่านพ่อก็ไม่กลับมาเลย”
“ฮึก ๆ ท่านแม่…” กู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ว่าอย่างไรนะ?” เฉาซื่อลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองฉายชัดบนใบหน้าของนาง “กู้ฉวนโซ่วยังไม่กลับมา? เขาไปตายที่ไหนกัน?”
ไม่น่าแปลกใจที่กู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีจะมีเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมม ปรากฏว่าช่วงนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน กลิ่นที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายนี้เกรงว่าจะไม่ได้อาบน้ำมาเกินสิบวันแล้ว
และร่างกายก็ผอมลงไปบ้าง ไม่มีเนื้อเลย เกรงว่าพวกเขาคงไม่ได้กินข้าวเต็มมื้อตั้งแต่นางจากไป
เฉาซินเหลียนกลับบ้านพร้อมกับลูกสองคนของนาง
เมื่อพวกเขากลับถึงบ้าน ประตูฝั่งปีกตะวันตกก็เปิดออกพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เมื่อเฉาซินเหลียนมองเข้าไปก็เห็นซุนซื่อยืนอยู่ที่ประตู มองดูตนเองด้วยความโกรธเคือง
“โอ้ น้องสาวกลับมาแล้วหรือ?” ซุนซื่อกอดอกและเอนตัวพิงวงกบประตู เหล่มองเฉาซินเหลียนด้วยท่าทางประชดประชัน
เดิมทีเฉาซินเหลียนกลับมาจากบ้านแม่ของนางด้วยความคับข้องใจ แต่คราวนี้เมื่อเห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งของซุนซื่อ นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
“โอ้ ซุนซีเอ๋อร์ เจ้าออกมาจากห้องขังแล้วหรือ? เจ้าดูไม่เลวเลยนี่! เป็นอย่างไรบ้าง อาหารในห้องขังรสชาติดีไหมล่ะ?” เฉาซินเหลียนตอกกลับ ซุนซีเอ๋อร์หน้าแดงก่ำราวกับยอมรับความพ่ายแพ้
“เจ้า…” ซุนซีเอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร เพียงประโยคเดียวของเฉาซินเหลียนก็ทำให้นางหมดคำจะพูดไปเสียแล้ว เฉาซินเหลียนก็รู้แล้ว ดูเหมือนว่าไม่มีใครในหมู่บ้านนี้ที่ไม่รู้
“ข้าอะไรล่ะ!” เฉาซินเหลียนสูดจมูกและกล่าวอย่างจองหอง “ไม่มีใครในหมู่บ้านรู้เรื่องเรื่องเลวร้ายของเจ้าหรอก”
“นี่เจ้าเอาไปนินทาอีกแล้วหรือ?” ซุนซีเอ๋อร์ดุเสียงดัง
“ข้าเอาไปนินทาอย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆ อย่าทำให้ขำสิ” เฉาซินเหลียนราวกับได้ยินเรื่องตลกและกล่าวว่า “ตัวเจ้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นและเรื่องก็แพร่กระจายไปทั้งหมู่บ้าน แต่ยังมาโทษว่าข้าเอาไปนินทา? ข้าน่ะ ข้ากลัวว่าหากพูดไปแล้วจะทำให้ปากของข้าสกปรกน่ะสิ เจ้านี่ยอดเยี่ยมเสียจริง แย่งดินแดนของหลานสาวจนต้องไปขึ้นโรงศาล เหอะ”
[1]* หมายความว่า คนสองคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และไม่ควรพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ