ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 381 ซื้อหน้ากาก
บทที่ 381 ซื้อหน้ากาก
บทที่ 381 ซื้อหน้ากาก
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงหันศีรษะมาและพยักหน้าให้พี่สาว และเห็นกู้เสี่ยวหวานจับมือกู้เสี่ยวอี้เอาไว้ เมื่อกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สวีเฉิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างก็ชิงกล่าวขึ้นก่อน “เสี่ยวหวาน ให้เสี่ยวอี้มาจับมือกับข้าเถอะ ถ้าอีกครู่คนเยอะขึ้น ข้าก็สามารถอุ้มนางได้!”
กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้กู้เสี่ยวอี้ตัวหนักมาก นางเกรงว่าว่าสวีเฉิงเจ๋อจะเหนื่อยและอยากจะปฏิเสธ แต่หลังจากคิดดูแล้ว ถ้าเขาดูแลกู้เสี่ยวอี้ มันคงง่ายกว่าการที่นางจะอุ้มกู้เสี่ยงอี้เอง ดังนั้นนางจึงพยักหน้า
กู้เสี่ยวอี้จับมือสวีเฉิงเจ๋ออย่างเชื่อฟัง
ฝูงชนยังคงเดินหน้าต่อไป ในตอนแรกมีคนไม่กี่คนบนถนน กู้เสี่ยวหวานก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ทันทีที่นางเดินเข้าไปในถนนที่พลุกพล่าน เมื่อมีคนมากขึ้นในเมือง กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกเสียใจที่พาฉินเย่จือออกมาด้วยกันกับนาง
ระหว่างทางมาที่นี่ กุ้ยตงเหมยไม่ได้บอกหรือว่าเทศกาลหยวนเซียวนี้ ชายหญิงที่ยังไม่แต่งงานจำนวนมากจากเมืองจะมาที่นี่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทศกาลจับคู่
บนถนนมีผู้หญิงมากขึ้น เมื่อพวกนางเห็นฉินเย่จือที่อยู่ข้างกู้เสี่ยวหวาน พวกนางทั้งหมดมองไปที่เขาด้วยสายตาชื่นชมและหลงไหลบนใบหน้าของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของฉินเย่จือกลับเย็นชาและเยือกเย็นอยู่เสมอ ผู้หญิงเหล่านั้น บางคนที่กล้าหาญเท่านั้นที่มองเขาไม่กะพริบตา ส่วนใหญ่ก็กระซิบกระซาบและมองไปที่ฉินเย่จือด้วยใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
เพียงแต่คนเหล่านี้ไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าเพราะความเย็นชาของฉินเย่จือ เขาดูเย่อหยิ่งจนทำให้ผู้คนกลัวที่จะก้าวไปหา
แต่กู้เสี่ยวหวานที่ยืนอยู่ข้างฉินเย่จือนั้นรู้สึกไม่ดีนัก ดวงตาที่อ่อนโยนราวกับน้ำที่มองฉินเย่จือ แต่สายตาเหล่านั้นราวกับลูกศรพิษทิ่มแทงมาที่นาง
กู้เสี่ยวหวานทำอะไรไม่ได้ นางทนต่อสายตาเหล่านั้นไม่ได้จริง ๆ นางจึงเดินห่างจากฉินเย่จือออกมาเล็กน้อย แต่การเดินห่างจากฉินเย่จือออกมานั้น จึงทำให้นางเข้าใกล้สวีเฉิงเจ๋อมากขึ้น
สวีเฉิงเจ๋อเพิ่งจะมีความสุข แต่เขาก็เห็นว่าฉินเย่จือจงใจต่อต้านเขา และมายืนตรงกลางระหว่างสวีเฉิงเจ๋อและกู้เสี่ยวหวาน และระหว่างเขากับกู้เสี่ยวหวานก็ราวกับมีเส้นแบ่งเขตขึ้นมา
สวีเฉิงเจ๋อจ้องไปที่ฉินเย่จืออย่างโกรธจัด แต่ฉินเย่จือเลิกคิ้วขึ้นราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจความโกรธของสวีเฉิงเจ๋อเลย และกู้เสี่ยวหวานเหลือบไปที่ฉินเย่จืออย่างตำหนิ แต่ฉินเย่จือก็แสดงรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ออกมาในทันที แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการยิ้มมุมปาก แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ หลงใหล
หลังจากที่ผู้หญิงรอบข้างแสดงท่าทีหลงใหล พวกนางก็แสดงสายตาที่ราวกับจะกินกู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเพียงว่าถ้าดวงตาของคนเหล่านี้เป็นไฟ และเกรงว่าตนเองก็คงจะถูกแผดเผาไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
กู้เสี่ยวอี้ที่อยู่ด้านข้างไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้ คงเป็นเพราะนางยังเด็กอยู่ และแม้ว่าจะเห็นมัน นางก็อาจจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
กู้เสี่ยวอี้จับมือสวีเฉิงเจ๋อ ดวงตาของนางไม่กะพริบมาสักพักหนึ่งแล้ว นางตื่นเต้นมากเมื่อมองดูโคมไฟหลากหลายประเภท “ท่านพี่ โคมไฟเหล่านี้สวยมาก!” กู้เสี่ยวอี้ชี้ไปที่โคมกระต่ายที่อยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในพริบตาถัดมานางก็กล่าวว่า “แต่โคมไฟนี้ไม่ได้ดูดีเท่าโคมไฟที่ท่านพี่ทำ”
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงก็เห็นด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะมีโคมไฟที่สวยงามมากมายบนถนน แต่ก็ไม่ใช่รูปแบบใหม่เลยและมันก็ไม่เหมือนกับโคมไฟที่พี่สาวทำเพราะมันหมุนได้
สวีเฉิงเจ๋อสั่งให้คนใช้ที่อยู่ข้างหลังของเขาจุดเทียนของโคมม้าวิ่งหลายอัน โดยคนรับใช้แต่ละคนถือคนละอัน โคมม้าวิ่งนั้นดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างในทันที
ผู้หญิงบางคนที่ตกหลุมรักฉินเย่จือ แต่ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ในตอนนี้พวกเขาเข้ามาทักทายโดยใช้โคมไฟเป็นข้ออ้าง
“ว้าว โคมไฟของพวกเจ้าสวยมาก! ซื้อมาจากที่ไหนหรือ?”
“ใช่แล้ว โคมไฟเหล่านี้สวยมาก ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย นายน้อยทำเองอย่างนั้นหรือ?”
เสียงของผู้หญิงเหล่านั้นช่างอ่อนโยนราวกับนกขมิ้นเจื้อยแจ้วบนหลิวเขียว!
อย่างไรก็ตาม นกขมิ้นนี้มีความรัก แต่หลิวเขียวนี้เป็นตอไม้
ใบหน้าที่หล่อเหลาของฉินเย่จือเคร่งขรึมและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ราวกับว่ามีตัวอักษรสี่ตัว ‘คนนอกห้ามเข้า’ แปะอยู่บนใบหน้าของเขา ผู้หญิงเหล่านั้นประหลาดใจและอิจฉา พวกนางไม่กล้าเข้าไปพูดคุยกับเขาจริง ๆ
ดูเหมือนผู้หญิงอีกคนหนึ่งจะรู้จักสวีเฉิงเจ๋อ และดูเหมือนจะคิดหาวิธีที่ช่วยเหลือประเทศออก นางยิ้มและทักทายสวีเฉิงเจ๋อ “อาจารย์สวี…” สวีเฉิงเจ๋อยิ้มและพยักหน้าเป็นคำตอบ
ผู้หญิงคนหนึ่งดูเหมือนจะใช้ประโยชน์จากการรู้จักกับสวีเฉิงเจ๋อ และกล่าวต่ออีกสองสามคำ “อาจารย์สวี พวกท่านรู้จักกันหรือ?”
หลังจากกล่าวจบ นางก็ชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวานและคนอื่นที่อยู่ข้าง ๆ เขาอย่างเขินอายเล็กน้อย แต่เน้นไปที่ฉินเย่จือซึ่งราวกับจะกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่านางกำลังถามถึงฉินเย่จือโดยเฉพาะ
สวีเฉิงเจ๋อพยักหน้าและตอบรับหนึ่งคำ
“แล้วนายน้อยผู้นั้นล่ะ เขาก็มาด้วยกันใช่หรือไม่?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยใบหน้าเขินอาย
สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เพราะกู้เสี่ยวหวานและคนอื่นไม่ได้รอเขา พวกนางเดินออกไปไกลหลายหมี่แล้ว สวีเฉิงเจ๋อก็กำลังรีบไป ดังนั้นเขาจึงตอบรับไปสองครั้ง และไม่สนใจหญิงสาวคนนั้นอีก จากนั้นจึงดึงกู้เสี่ยวอี้รีบตามไป
หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้าที่อ่อนโยนในเมื่อสักครู่ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นสวีเฉิงเจ๋อไม่แม้แต่จะกล่าวอะไรต่อและไม่สนใจตนเอง นางจึงอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าด้วยความโกรธ เมื่อผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เห็นว่านางผู้นี้รู้จักสวีเฉิงเจ๋อ เพียงฝ่ายเดียว และยังกล้าเดินไปพูดคุยด้วยอีก แต่เขากลับกินแกงประตูปิด*[1] และทุกคนก็ปิดปากหัวเราะ
เมื่อเห็นว่านางถูกทุกคนเยาะเย้ย นางจึงหน้าแดงด้วยความโกรธ เมินเฉยต่อคนเหล่านั้นและเดินออกไป
กู้เสี่ยวหวานมองดูโคมเหล่านี้ราวกับกำลังขี่ม้าชมดอกไม้ โคมไฟเหล่านี้ไม่ต่างจากชีวิตก่อน แต่มีความหลากหลายมากกว่า กู้เสี่ยวหวานมาถึงซุ้มหน้ากาก ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่งและซื้อพวกมันมาหลายอัน
กู้หนิงผิงรู้สึกสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่สาวซื้อหน้ากาก แต่เขาก็ชอบลวดลายของหน้ากากมาก หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานจ่ายเงินแล้ว นางจึงเลือกให้ตนเองทันที
กู้หนิงอันและกู้เสี่ยวอี้ก็เลือกสิ่งที่พวกเขาชอบเช่นกัน แต่สวีเฉิงเจ๋อไม่ชอบหน้ากากนี้ และรู้สึกว่าเวลาใส่แล้วจะหายใจไม่ออก ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการมัน ในตอนแรกฉินเย่จือก็ไม่ต้องการมันเช่นกัน แต่กู้เสี่ยวหวานยัดมันไว้ในมือของเขาราวกับว่าถ้าฉินเย่จือไม่ใส่ นางก็จะใส่ให้เขาเอง
ฉินเย่จือมองดูหน้ากากในมือของเขา หน้ากากนี้น่าจะเป็นหน้ากากที่น่าเกลียดที่สุดในซุ้ม อันที่อยู่ในมือของกู้หนิงอันและคนอื่น ๆ ยังน่ารักกว่าเสียอีก
*[1] ถูกปฏิเสธการต้อนรับ