ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 393 เลี้ยงอาหารขอโทษ
บทที่ 393 เลี้ยงอาหารขอโทษ
บทที่ 393 เลี้ยงอาหารขอโทษ
หากสวีเฉิงเจ๋อยังคงยืนกรานที่จะไล่กู้จือเหวินออกจากสำนักศึกษา ชีวิตของกู้จือเหวินจะถูกทำลายลง
กู้จือเหวินต้องการพูดบางอย่าง แต่กู้ฉวนลู่จ้องกลับด้วยสายตาเย็นชา
“จือเหวิน ถ้าเจ้าทนไม่ได้ เจ้าก็จะทำการใหญ่ไม่ได้!” กู้ฉวนลู่ลดเสียงของเขาลง เขามองไปที่ใบหน้าที่ดื้อรั้นของกู้จือเหวินและเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงทุ่มต่ำ “สำหรับตอนนี้ทนรับความอับอายในวันนี้ไปก่อน เมื่อกลับไปแล้วพ่อจะแก้แค้นให้ลูก!”
คำพูดของกู้ฉวนลู่ดังเข้าหูฉินเย่จือโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว เขาเหลือบมองไปที่กู้ฉวนลู่ โดยสายตาที่จ้องมองมาทำให้กู้ฉวนลู่หัวใจเต้นแรง
ในเวลานี้ กู้จือเหวินที่ได้ยินคำพูดของกู้ฉวนลู่ก็ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง “กู้เสี่ยวหวาน ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ในวันนี้ ข้าไม่เก่งเท่าเจ้า!”
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเขายังไม่ค่อยเต็มใจ และเสียงยังเบามากจนนางแทบไม่ได้ยิน “เจ้าพูดว่าอะไร ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าช่วยพูดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่!”
“กู้เสี่ยวหวาน อย่าให้มันมากเกินไปนะ!” กู้จือเหวินกัดฟัน
เมื่อมองไปที่กู้ฉวนลู่อีกครั้ง กู้จือเหวินก็ทำได้เพียงกลืนความโกรธของเขาลงในท้องอีกครั้ง ก่อนเพิ่มระดับเสียงของเขาให้ดังขึ้นอีกนิด “กู้เสี่ยวหวาน ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ในวันนี้ ข้าไม่เก่งกาจเท่าเจ้า!”
“พูดให้ดังกว่านี้ พวกเราไม่ได้ยิน…” ใครบางคนในฝูงชนส่งเสียงโห่ร้อง
“พูดให้ดังกว่านี้ ไม่ได้ยินเลย ไม่ได้ยิน!”
ใบหน้าของกู้จือเหวินซีดเผือด เขาเหลือบมองไปยังกลุ่มคนราวกับว่าเขาต้องการจดจำหน้าตาทุกคนให้ชัดเพื่อจัดการคิดบัญชีในอนาคต
“จือเหวิน…” กู้ฉวนลู่เห็นว่ากู้จือเหวินกำลังจะระเบิด จึงรีบส่งเสียงเรียกอีกครั้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความปลอบโยน กู้จือเหวินทำได้เพียงยอมรับความผิด และเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานอย่างไม่เต็มใจ แววเย็นเยียบวาบผ่านดวงตาเขาไป
กู้เสี่ยวหวาน ข้าจะปล่อยให้เจ้าอวดดีต่อไปอีกสองสามวัน
“กู้เสี่ยวหวาน วันนี้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ข้าไม่เก่งเท่าเจ้า!” กู้จือเหวินตะโกนเสียงดัง
เสียงนั้นดังและชัดเจน ซึ่งทุกคนที่อยู่ในนั้นก็ได้ยินกันทั่ว
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา เสียงเยาะเย้ยโดยรอบก็ดังเข้ามาเต็มแก้วหูของกู้จือเหวินทันที
กู้จือเหวินนึกอยากเหลือบมอง ถ้าเขายังอยู่ต่อไปอีก รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่ไปฉีกปากของกู้เสี่ยวหวาน
กู้จือเหวินมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างดุร้าย เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางก็รู้สึกบาดตา
ถัดจากกู้เสี่ยวหวานมีชายหนุ่มรูปงามสวมหน้ากากที่อัปลักษณ์ยิ่ง คอยยืนอยู่ข้างหลังกู้เสี่ยวหวานเหมือนองครักษ์ เมื่อเห็นจิตสังหารของกู้จือเหวิน ฉินเย่จือก็รีบกันกู้เสี่ยวหวานไว้ข้างหลังของเขาทันที ด้วยกลัวว่ากู้จือเหวินจะเข้ามาทำร้ายกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานผู้ถูกปกป้องไว้ด้านหลังของเขาพลันรู้สึกวางใจอย่างอธิบายไม่ได้
ร่างกายของฉินเย่จือเต็มไปด้วยความหนาวเย็น ซึ่งทำให้กู้จือเหวินรู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งร่างจนตัวสั่นสะท้าน เขามองดูหน้ากากอันอัปลักษณ์ด้วยความหวาดกลัว ภายใต้หน้ากากมีดวงตาคู่หนึ่งซึ่งลึกล้ำราวกับบ่อน้ำลึก ไร้ซึ่งความอบอุ่น เพียงแค่มองเข้าไปก็ทำให้กู้จือเหวินตัวหนาวสั่น
“นี่ เจ้ายังไม่ได้เห่าเลย เห่าออกมาสิ เห่าแค่สามครั้งก็พอ”
“ใช่ ๆ!”
ใบหน้าของกู้จือเหวินพลันแดงก่ำ ความโกรธในตัวเขาไม่อาจระงับได้อีกต่อไป เขาหันกลับไปตะโกนว่า “หุบปากซะ!”
แต่คนรอบข้างจะหวาดกลัวเด็กน้อยผู้นี้ได้อย่างไร เมื่อเห็นว่าเขาข่มขู่พวกตนก็ทำหน้าบึ้ง แล้วพูดอย่างดุร้ายว่า “ใครทำอะไรลงไป คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนไม่ได้ความ ถ้าเจ้าไม่กล้าทำ ตอนนั้นก็ไม่น่าจะพูดจาโอ้อวด วันนี้เจ้าแพ้เลยอยากกลับคำพูด แต่ถ้ายัยหนูคนนี้แพ้แล้วนางต้องการกลับคำ เจ้าจะยอมตกลงหรือ?”
กู้เสี่ยวหวานอยากจะปรบมือให้คนผู้นี้จริง ๆ แต่เมื่อนางมองไปยังที่มาของเสียงก็พบว่าเป็นชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่มีใบหน้าคุ้นเคยราวกับว่านางเคยเห็นเขามาก่อน แต่นางจำไม่ได้
กู้เสี่ยวหวานยิ้มขอบคุณเขา และชายหนุ่มก็ประสานคือคำนับให้นางพลางยิ้มตอบ
มันเป็นเพียงการกระทำเล็ก ๆ เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้เห็นใครบางคนช่วยพูดให้กับนาง นางย่อมนึกอยากจะขอบคุณพวกเขา
แต่ฉินเย่จือที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปที่ชายหนุ่ม ชายคนนั้นเพียงรู้สึกว่ามีลูกศรแหลมคมถูกยิงมาจากเขา จากนั้นเขาก็มองไปที่ชายร่างสูงข้างกายเสี่ยวหวาน เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
กู้ฉวนลู่ไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ เขาโกรธมากจนหน้าแดงก่ำ
ทว่าเขาไม่ได้โกรธที่ลูกชายของเขารับปากไป หรือโกรธที่ทักษะลูกชายของเขาด้อยกว่าคนอื่น แต่เขาโกรธกู้เสี่ยวหวานที่ทำให้ลูกชายของเขาต้องอับอาย แต่เขาลืมไปว่าความอับอายนี้เกิดจากตัวกู้จือเหวินเอง
“กู้เสี่ยวหวาน เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยรึ?” กู้ฉวนลู่พูดอย่างโกรธเคือง
หากลูกชายของเขาเห่าออกไปจริง ๆ ชื่อเสียงของเขาคงพังพินาศ
กู้เสี่ยวหวานไม่คิดจะรีบฆ่าพวกเขาให้ตาย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นจนใจ “แล้วท่านลุงต้องการให้ทำอย่างไรเจ้าคะ?”
“เมื่อครู่จือเหวินได้ขอโทษเจ้าไปแล้ว เพื่อเห็นแก่ที่เรายังเป็นญาติกันอยู่ ให้หยุดแค่นี้เถอะ!”
กู้ฉวนลู่กล่าว แม้ว่าเขาจะเอ่ยขอร้อง แต่สายตาของเขาเย็นชานัก ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเกลียดชังกู้เสี่ยวหวานอย่างยิ่ง
กู้เสี่ยวหวานยิ้ม นางไม่ได้หวาดกลัวกู้ฉวนลู่เลยสักนิด หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนางก็พยักหน้า “ที่จริงเรายังเป็นญาติกัน มันคงไม่ดีเท่าไรถ้าจะทำมากเกินไป!”
กู้ซินเถาที่อยู่ข้าง ๆ รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ถูกแล้ว พวกเรายังเป็นพี่น้องกัน มีเหตุผลอะไรที่ต้องสู้กันตายไปข้าง!”
กู้เสี่ยวหวานแค่นเสียงหยัน “ในเมื่อท่านลุงเอ่ยปากทั้งที ข้าไม่อาจไม่เชื่อฟังผู้อาวุโส แม้ถึงว่าข้าจะไม่เอาเรื่องต่อ แต่คนจำนวนมากที่อยู่รอบ ๆ กำลังเฝ้าดูอยู่ อีกทั้งพวกเขายังถูกกู้จือเหวินกล่าวหาอย่างไร้เหตุผล หากข้าไม่เอาเรื่องต่อ ข้ากลัวว่าคนเหล่านี้จะรู้สึกไม่สบายใจ… อ่า…”
กู้เสี่ยวหวานแสร้งทำเป็นพูดอย่างทำอะไรไม่ถูก
“กู้เสี่ยวหวาน เจ้าต้องการอะไร?” กู้จือเหวินเค้นพูดทีละคำอย่างโกรธเคืองราวกับจะกินกู้เสี่ยวหวาน
ตราบใดที่ไม่ปล่อยให้เขาเห่า เรื่องอื่นล้วนตกลงได้
“ท่านลุง เหตุใดไม่ทำเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ? แทนที่จะพูดขอโทษคนเหล่านี้ ก็ให้ทำการปฏิบัติจริงดีกว่า วันนี้เป็นวันปีใหม่ ชวนคนเหล่านี้ไปเลี้ยงอาหารแทนคำขอโทษ ท่านลุงคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
กู้เสี่ยวหวานยิ้มหวาน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของกู้ฉวนลู่ก็เปลี่ยนไป เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ ยามนี้มีคนอยู่อาจถึงหลายร้อยคน ถ้าให้ไปกินดื่มเปล่า ๆ จะต้องเสียเงินอีกมากเท่าไร!
แต่เพื่อประโยชน์ของกู้จือเหวิน กู้ฉวนลู่ตกลงโดยไม่คิด “เอาล่ะ วันนี้เป็นความผิดของจือเหวินเองที่พูดจาดูหมิ่นทุกคน ตัวข้าในฐานะบิดาของเขาคงยากที่จะหนีความรับผิดชอบ วันนี้ข้าขอเชิญชวนผู้อาวุโสและผู้คนในหมู่บ้านทุกคนมาดื่มกินแทนเจ้าลูกหมานี่”