ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 394 มอบกริชให้
บทที่ 394 มอบกริชให้
บทที่ 394 มอบกริชให้
กู้ฉวนลู่เป็นคนที่เรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว และสิ่งที่เขากล่าวนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป
เมื่อคนรอบข้างได้ยินก็ตะโกนลั่นอย่างตื่นเต้นทันที
ฝูงชนที่ตื่นเต้นก็แยกย้ายกันไปในทันที และพวกเขาทั้งหมดไปที่ร้านอาหารซุ่นซิน เพราะกลัวว่าถ้าไปช้าจะไม่มีที่นั่ง
ทันใดนั้นทั้งถนนก็ว่างเปล่า
กู้ฉวนลู่ไม่สนใจเรื่องเสียเงินอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เรื่องการเรียนที่หอหนังสืออวี้ของกู้จือเหวินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
กู้ฉวนลู่พากู้จือเหวินไปหาสวีเฉิงเจ๋อและขอร้องว่า “อาจารย์สวี จือเหวินเป็นคนดื้อรั้นจึงทำให้ท่านอับอาย ข้าหวังว่าท่านจะให้โอกาสจือเหวินอีกครั้งและไม่ไล่เขาออก”
ครั้นกู้จือเหวินได้ยินว่าสวีเฉิงเจ๋อกำลังจะไล่เขาออกจากสำนักศึกษาก็พลันหวาดกลัวเช่นกัน
ในเมืองนี้มีสำนักศึกษาเพียงแห่งเดียวคือหอหนังสืออวี้ ถ้าถูกไล่ออกก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะไปเรียนที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขาถูกไล่ออก ไม่รู้ว่าคนรอบข้างจะพูดถึงเขาอย่างไร
ใบหน้าของกู้จือเหวินเต็มไปด้วยความอับอาย เขาเป็นกังวลและกลัวเล็กน้อย ท้ายที่สุดเขาก็เป็นแค่เด็กอายุสิบเอ็ดขวบ ไม่ใช่เรียนหนังสือเพื่อให้มีความรู้ แต่เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ เพราะเขาต้องการเป็นคนที่เหนือกว่า
มีเพียงการเรียนเท่านั้นที่จะช่วยให้ความฝันนี้เป็นจริงได้ หากสวีเฉิงเจ๋อไล่เขาออกในวันนี้ จะมีสำนึกศึกษาใดยอมรับเขา เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนจะกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเทศกาลหยวนเซียวนี้ กลัวว่าในเวลานั้นจะไม่ทำอะไรเลย และชื่อเสียงของเขาจะเสียไป
กู้จือเหวินมองด้วยความกลัวและขอร้องว่า “อาจารย์ จือเหวินผิดไปแล้ว ได้โปรดอย่าไล่ข้าออกเลยนะขอรับ!”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของสวีเฉิงเจ๋อยังคงมืดมนอยู่ กู้ฉวนลู่ก็รีบส่งสายตาให้กู้จือเหวิน
กู้จือเหวินคุกเข่าลงต่อหน้าสวีเฉิงเจ๋ออย่างไม่ต้องคิด โค้งคำนับและอ้อนวอนอย่างขมขื่น “อาจารย์ ได้โปรด ได้โปรด…”
ความเย่อหยิ่งต่อหน้าทุกคน ท่าทางเมื่อสักครู่ไปอยู่ที่ไหนกัน ในตอนนี้เขาเหมือนเด็กที่ทำผิดและกำลังรอให้อาจารย์ให้อภัย
“อาจารย์สวี ผลการเรียนของจือเหวินนั้นดีที่สุดในสำนักศึกษามาโดยตลอด เขาแค่ใจร้อนไปนิดหน่อย วันนี้ที่เขาพูดแบบเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาโกรธมาก ปกติแล้วเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย!” กู้ฉวนลู่ที่อยู่ด้านข้างก็ช่วยพูด
กู้เสี่ยวหวานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองไปที่กู้จือเหวินและกู้ฉวนลู่ด้วยสายตาเย็นชา
กู้จือเหวินเป็นคนเช่นไรกันแน่ เกรงว่าพวกเขาคงคิดว่าสวีเฉิงเจ๋อคงจะได้รู้
ตามคำกล่าวที่ว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ พ่อของตนเองก็อยู่ฝ่ายเดียวกันด้วยไม่ใช่หรือ!
สวีเฉิงเจ๋ออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนั้นเขาโกรธเกินไปจริง ๆ อย่างแรกคือ เขาโกรธที่กู้จือเหวินไม่มีความซื่อสัตย์ และอีกอย่างคือ กู้จือเหวินดูถูกผู้อื่น คำพูดของเขาทำร้ายผู้คน ทุกประโยคที่ออกจากปากของเขาช่างโหดร้าย ความหยิ่งทะนงเช่นนี้ หากในอนาคตเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา…
สวีเฉิงเจ๋อไม่กล้าแม้แต่จะคิด กู้จือเหวินคงจะเรียนหนังสือไปอย่างไร้ประโยชน์! ถ้าท่านพ่อรู้ว่ากู้จือเหวินหยิ่งและไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาจะตัดสินใจแบบเดียวกับตนหรือไม่
นอกจากนี้ คนที่กู้จือเหวินทำร้ายคือกู้เสี่ยวหวาน
สวีเฉิงเจ๋อสงบสติอารมณ์และกล่าวออกมา “คุณชายกู้ ลูกชายของท่านดื้อรั้นเกินไป เขาเรียนหนังสือในหอหนังสืออวี้มาหลายปีแล้ว แต่เขากลับพูดจาดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ความคิดเช่นนั้นช่างน่ารังเกียจเสียจริง”
กู้ฉวนลู่กล่าวทันที “อาจารย์สวี ข้ารู้ว่าในวันนี้สุนัขตัวนี้ได้ทำผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่คนเราหาใช่เทพสวรรค์ มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยทำผิดพลาด หลังจากกลับไป ข้าจะสั่งสอนสุนัขตัวนี้อย่างดี ให้เขาอ่านหนังสือเพิ่มเติมและทำตัวให้เป็นนักปราชญ์มากขึ้น หลังจากนี้ไปเขาจะไม่สร้างปัญหาอีก ได้โปรดให้โอกาสสุนัขตัวนี้ในการเปลี่ยนตัวเอง!”
“อาจารย์ ได้โปรด!” กู้จือเหวินทำตามสัญญาณที่กู้ฉวนลู่ส่งให้ โดยคุกเข่าลงไปข้างหน้าพร้อมกับน้ำตานองหน้าด้วยท่าทางน่าสงสาร เขาขยับไปด้านหน้าสวีเฉิงเจ๋อ ดึงชายเสื้อของสวีเฉิงเจ๋อและอ้อนวอนอย่างขมขื่น “อาจารย์ ข้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างแน่นอน ในอนาคตข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้ง”
กู้จือเหวินอ้อนวอนและเขย่าชายเสื้อของสวีเฉิงเจ๋อ
เมื่อเห็นกู้จือเหวินร้องไห้อย่างขมขื่น เขาก็รู้ว่าคนผู้นี้มีคุณประโยชน์ และถ้าเขาถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาจริง ๆ มันอาจจะเป็นการทำลายอนาคตของเขา สวีเฉิงเจ๋อไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
กู้จือเหวินยังคงร้องไห้ แม้สวีเฉิงเจ๋อไม่ต้องการให้คนไม่ดีมีอนาคต แต่เขาก็หลับตาพลางกล่าวว่า “ลืมมันไป ลืมมันไป แสร้งทำเป็นว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดมันออกมา ข้ารู้ถึงความทะเยอทะยานของเจ้า หากเจ้ายังทำเช่นนี้อีก อนาคตของเจ้าจะถูกตัดแน่นอน ลุกขึ้นได้แล้ว ข้าไม่ไล่เจ้าออกแล้ว”
ดวงตาที่เป็นประกายของกู้เสี่ยวหวานมืดลงในขณะนั้น และรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็จางลงเล็กน้อย
กู้ฉวนลู่โล่งใจและรอยยิ้มขอบคุณก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “อาจารย์สวี ท่านช่างเป็นคนที่ใจกว้างจริง ๆ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะสั่งสอนจือเหวินอย่างดี และในอนาคต เขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นและตั้งใจเรียนเพื่ออาจารย์สวีอย่างแน่นอน”
เมื่อกู้จือเหวินได้ยินว่าสวีเฉิงเจ๋อจะไม่ไล่เขาออกจากสำนักศึกษาแล้ว เขาจึงลุกขึ้น ยิ้มทั้งน้ำตาพลางกล่าวว่า “ขอบคุณอาจารย์ ขอบคุณอาจารย์ วันนี้ข้าจะตั้งใจเรียนและใช้ชีวิตตามคำสั่งสอนของอาจารย์”
เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขอย่างน่าพอใจ แต่กู้ฉวนลู่ยังต้องรีบไปที่ร้านอาหารซุ่นซิน และหลังจากกล่าวอีกสองสามคำกับสวีเฉิงเจ๋อ เขาก็บอกลาและจากไป ก่อนจากไป เขามองย้อนกลับไปที่กู้เสี่ยวหวาน และในดวงตาคู่นั้นแฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ แต่มองความหมายลึกซึ้งในนั้นได้ไม่ชัด
กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจความหมายของสายตาคู่นั้น และเมื่อนางมองดูอีกครั้ง กู้ฉวนลู่ก็ได้เดินจากไปพร้อมกับกู้จือเหวินและกู้ซินเถาแล้ว
เมื่อเห็นว่าผู้คนรอบตัวเขาหายไป จ้าวเซิงก็ประสานมือและกล่าวกับกู้เสียวหวานว่า “เหตุการณ์ในวันนี้คงทำให้แม่นางรู้สึกขุ่นเคืองใจ นอกจากเงินรางวัลที่มอบให้เจ้าก่อนหน้านี้แล้ว เจ้านายของข้าบอกว่า หากใครก็ตามที่ทายปริศนาทั้งสองนี้ได้ จะได้รับของขวัญเพิ่มเติม”
ข้าง ๆ เขามีคนรับใช้คนหนึ่งยื่นของให้จ้าวเซิง หลังจากที่จ้าวเซิงรับไปเขาก็มอบให้กู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานงุนงงและยกผ้าที่คลุมถาดขึ้น เผยให้เห็นกล่องผ้าอันประณีต
กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงและเงยหน้ามองไปที่จ้าวเซิง
จ้าวเซิงเหลือบมองที่กล่องผ้าและยิ้มให้กำลังใจ “แม่นางกู้ลองเปิดมันดูสิ”
กู้เสี่ยวหวานเปิดกล่องและหยิบกริชอันประณีตออกมา
“กริชนี้ทำจากเหล็กเย็น*[1] และมันคมเป็นพิเศษ กริชนี้มอบให้กับแม่นางเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเท่านั้น” จ้าวเซิงกล่าว
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยิน มันก็ถูกต้อง การที่ตนเองเก็บมันไว้ก็มีประโยชน์ ดังนั้นนางจึงยอมรับอย่างมีความสุขและขอบคุณจ้าวเซิง
*[1] ต้องใช้การหลอมที่อุณหภูมิต่ำเพื่อรักษาคุณสมบัติของมัน อาวุธที่ทำจากเหล็กเย็นมีราคาสูงถึงสองเท่าของอาวุธทั่วไป