ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 399 แสงจันทร์ทมิฬ
บทที่ 399 แสงจันทร์ทมิฬ
บทที่ 399 แสงจันทร์ทมิฬ
“อาโม่ ไปช่วยข้าตรวจสอบว่าแสงจันทร์ทมิฬตอนนี้อยู่ในมือของผู้ใด!” ความเกียจคร้านของฉินเย่จือหายไป แทนที่ด้วยท่าทางจริงจังและตื่นตัว
“ว่าอย่างไรนะ? แสงจันทร์ทมิฬ?” อาโม่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขานึกถึงบางสิ่งในทันทีและตอบว่า “นายท่าน เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงนึกถึงแสงจันทร์ทมิฬขึ้นมาล่ะ? แสงจันทร์ทมิฬสูญหายไปหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ?”
ฉินเย่จือส่ายศีรษะ “มันปรากฏขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับเสี่ยวหวาน!”
“ว่าอย่างไรนะ มัน…มันจะเกี่ยวข้องกับแม่นางกู้ได้อย่างไร?” อาโม่งงงวย
คนหนึ่งเป็นสาวชาวบ้านธรรมดา อีกคนเป็นราชวงศ์ จะเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร!
แสงจันทร์ทมิฬ เป็นกริชที่มีความคมเป็นพิเศษ จักรพรรดิองค์แรกผู้ล่วงลับได้มอบสิ่งนี้เป็นสินสอดทองหมั้นให้องค์หญิงฉางผิง
ในปีนั้นเพื่อเตรียมสินสอดทองหมั้นให้ลูกสาวที่มีค่าที่สุดและน่าสงสารที่สุดของเขา จักรพรรดิองค์แรกได้เสด็จเยี่ยมช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งดินแดนและทำกริชเล่มนี้มาจากเหล็กเย็น เนื่องจากตัวกริชมีลักษณะเล่นแสงและเงา กริชเล่มนี้จึงมีชื่อว่าแสงจันทร์ทมิฬ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว และองค์หญิงฉางผิงก็ถูกฝังอยู่ในดินแล้ว กริชเล่มนี้ควรใช้เป็นของชำร่วยในงานพิธีศพของนาง หรือว่า…
“ข้าไม่รู้เหตุผล” ฉินเย่จือกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่องค์หญิงฉางผิงสิ้นพระชนม์ สินสอดทองหมั้นของนางเกือบทั้งหมดกลายเป็นชำร่วยในงานพิธีศพของนาง ดังนั้นแสงจันทร์ทมิฬก็ควรเป็นเช่นกัน แต่คืนนี้ข้าเห็นแสงจันทร์ทมิฬ!”
“ว่าอย่างไรนะขอรับ?” อาโม่ตกใจ “นายท่านเห็นมันที่ไหน!”
“เรื่องมันยาว มีคนให้แสงจันทร์ทมิฬกับเสี่ยวหวาน!”
“ตอนนี้กริชนั่นอยู่ในบ้านกู้ใช่หรือไม่?” อาโม่เอ่ยถาม “ใครกันที่จะมอบกริชล้ำค่าเช่นนี้ให้แม่นางกู้?”
ฉินเย่จือพยักหน้า “นี่คือสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ”
คืนนี้กู้เสี่ยวหวานทายปริศนาถูกสองข้อ หากครอบครัวนั้นร่ำรวย การให้เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินก็นับว่าฟุ่มเฟือยมากแล้ว แต่เหตุใดจ้าวเซิงถึงมอบกริชเล่มนั้นให้กู้เสี่ยวหวานอีก?
กริชเป็นสินสอดทองหมั้นของเจ้าหญิงฉางผิง ในเวลานั้นนางนำกริชไปที่อาณาจักรหนานหลิง และแต่งงานกับจักรพรรดิแห่งหนานหลิง
กริชนั่นน่าจะอยู่ที่หนานหลิง เหตุใดมันถึงย้อนกลับมาที่อาณาจักรต้าชิง?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า จ้าวเซิงไม่ได้เป็นคนจากอาณาจักรต้าชิง?
ฉินเย่จือมีข้อสงสัยในใจมากมาย เขากังวลและตื่นเต้นกับกริชเล่มนั้นเป็นอย่างมาก
หากกริชอยู่ในมือของกู้เสี่ยวหวาน มันจะเป็นอาวุธที่ทรงพลังสำหรับการป้องกันตัว แต่ในอนาคต หากใครมาเห็นมัน คนเหล่านั้นอาจจะคิดว่ากู้เสี่ยวหวานเกี่ยวข้องกับอาณาจักรหนานหลิง
“นายท่าน เหตุใดเราไม่บอกความจริงกับแม่นางกู้ล่ะ บอกแม่นางเกี่ยวกับกริชเล่มนั้น!” อาโม่กล่าวอย่างกังวล
กริชเล่มนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรหนานหลิง ถ้าถูกคนพบเห็นขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้นหากมีคนใส่ร้ายว่ากู้เสี่ยวหวานมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรหนานหลิง เช่นนั้นก็คงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก
“ไม่ต้องรีบร้อน!” ฉินเย่จือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว กริชเล่มนั้นนอกจากคนที่เกี่ยวข้องแล้ว คนอื่นอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารูปร่างของกริชเป็นเช่นไร พวกเรามารอดูว่าคนที่มอบกริชให้มีเจตนาเช่นไร ถึงตอนนั้นเราค่อยตัดสินใจ”
ฉินเย่จือกล่าวจบ อาโม่ก็พยักหน้า
เมื่อฉินเย่จือกลับมาก็ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ ในห้อง
กู้เสี่ยวหวานนอนอยู่บริเวณขอบเตียง ฉินเย่จือจึงเดินย่องไปที่ขอบเตียง
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกร้อนเล็กน้อยจึงยื่นมือออกนอกผ้าห่ม ฉินเย่จือกลัวว่านางจะหนาวจึงรีบเอามือของนางเข้าไปในผ้าห่มอย่างนุ่มนวล
หลังจากนั้น ฉินเย่จือก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ขมวดคิ้วบางและหลับตาห่อหุ้มดวงตาทั้งสองไว้
ใบหน้าเล็กที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่ความงามไร้ที่เปรียบยังคงเด่นชัดเจน นางมีความพากเพียรและความดื้อรั้นที่ไม่อาจละเลยได้ และนิสัยที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่าย ๆ นั้น ทำให้เขาใจเต้นมากที่สุด
มุมปากของฉินเย่จือโค้งขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้มันราวกับความฝัน
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมาที่แห่งนี้ และเขาก็ยังลังเลที่จะอยู่ที่นี่
ดวงจันทร์นอกหน้าต่างนั้นกลมโต สว่างราวกับแผ่นหยกขนาดใหญ่ และสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
เช้าวันรุ่งขึ้น กู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่
กู้เสี่ยวหวานช่วยกู้หนิงอันเก็บของ ในขณะที่กู้หนิงผิงและฉินเย่จือกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารในครัว
กู้เสี่ยวหวานเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดให้กู้หนิงอัน แต่ในใจของนางก็รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย และมักจะรู้สึกว่าจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นเสมอ
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของกู้เสี่ยวหวาน กู้หนิงอันก็รีบปลอบโยน “ท่านพี่ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เป็นไร!”
กู้เสี่ยวหวานลอบถอนหายใจ เมื่อมองไปที่กู้หนิงอัน นางก็ยังไม่อาจวางใจได้
“ท่านพี่ ข้าอยู่ในสำนักศึกษาที่มีทั้งอาจารย์และฮูหยินคอยดูแล หากข้าไม่ออกไปไหน กู้จือเหวินก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้! เรื่องแค่นี้ข้าสามารถจัดการได้”
หลังจากที่กู้หนิงอันกล่าวจบ เขาก็มีสีหน้ากังวลเช่นกัน เขาจับมือกู้เสี่ยวหวานและกล่าวอย่างกังวลว่า “ท่านพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้าในตอนนี้ แต่ข้ากังวลเกี่ยวกับพวกพี่! กู้จือเหวินเป็นคนใจแคบ กู้ฉวนลู่ก็เหมือนกัน ข้ากลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะมาวุ่นวายกับพวกท่าน”
ที่บ้านมีเพียงเด็กไม่กี่คน ถ้าเป็นตามปกติ กู้หนิงอันก็จะเป็นกังวลมาก แต่โชคดีที่ตอนนี้มีฉินเย่จือ ในช่วงเวลานี้ เขาสังเกตว่าฉินเย่จือดีกับพี่สาวของเขามาก ยิ่งไปกว่านั้นฉินเย่จือก็เก่งศิลปะการต่อสู้ หากเกิดอะไรขึ้น เขาจะสามารถปกป้องพี่สาวของตนได้อย่างแน่นอน
“ที่บ้านมีพี่ฉินอยู่ ไม่ต้องกังวล!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างหนักแน่นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้มีฉินเย่จือคอยดูแลอยู่ที่บ้าน กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกสบายใจยิ่งนัก
ในขณะนี้ฉินเย่จือและคนอื่น ๆ ก็ออกมาจากห้องครัวเล็ก ๆ ฉินเย่จือจึงได้ยินการสนทนาระหว่างพี่น้องและกล่าวว่า “หนิงอัน ไม่ต้องกังวล ข้าจะปกป้องพวกเสี่ยวหวานเอง!”
คำพูดของฉินเย่จือมีพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ กู้หนิงอันพยักหน้าอย่างหนักและพูดกับฉินเย่จืออย่างขอบคุณ “พี่ฉิน เรื่องใดที่ข้าทำผิดในอดีต ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย!”
ฉินเย่จือกะพริบตาและคลี่ยิ้ม