ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 418 ตัดลิ้นเจ้า
บทที่ 418 ตัดลิ้นเจ้า
บทที่ 418 ตัดลิ้นเจ้า
หยาดน้ำตาของกุ้ยชุนเจียวหลั่งริน นี่คือพ่อแม่ของตน ไม่ว่านางจะกระทำผิดสิ่งใด ท่านก็ยังคงเชื่อและรักนาง แต่ถูหมิ่นที่นางตกหลุมรักกลายเป็นคนร้ายที่ไร้ยางอาย
ครั้นกุ้ยชุนเจียวเห็นว่าพ่อกับแม่ของนางดูร้อนรน และอยากจะรีบหาเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินมาให้นางโดยเร็วที่สุด พลันก็รู้สึกราวกับมีก้างปลาติดอยู่ที่คอ กล่าวอะไรไม่ออก นางทำได้เพียงมองพ่อกับแม่ด้วยแววตากตัญญูและน้ำตาที่ไหลพราก
ถูหมิ่นรู้สึกพึงพอใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยียบดังมาเข้าหูของเขา
“หึ ให้สีกับเจ้าเสียหน่อย เพราะเจ้าใกล้จะได้เปิดร้านย้อมสีแล้ว” กู้เสี่ยวหวานเยาะเย้ย และมองถูหมิ่นด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างเย็นชา ถูหมิ่นก็เอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอะไร ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาให้เงินร้อยตำลึงเงินแก่เจ้า เจ้าอย่าคิดว่ามันจะสำเร็จ!”
“เจ้าตัดสินใจได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าเป็นอะไรกับพวกเขากัน? หากจะไม่ให้เงินแก่ข้าก็ได้ แต่ข้าก็จะนำเรื่องที่ชุนเจียวหนีตามข้าไปป่าวประกาศให้ทั่ว ดูซิว่าเจ้าจะให้หรือไม่ให้!” หลังจากกล่าวจบ ถูหมิ่นก็หมายจะวิ่งออกไป
ฉินเย่จือที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเย็นชา ในขณะนี้ เขาเข้าใจความหมายของกู้เสี่ยวหวาน เมื่อเห็นว่าถูหมิ่นกำลังจะหนีไป เขาก็รีบรุดขึ้นหน้า คว้าตัวเขาไว้ และใช้แรงเหวี่ยงถูหมิ่นลงบนพื้น จากนั้นจึงใช้เท้าเหยียบไปบนหลังของเขา
ถูหมิ่นร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก และเห็นกู้เสี่ยวหวานมองลงมาที่ตนเองด้วยสีหน้าดูถูก
ถูหมิ่นถูกฉินเย่จือกดลงกับพื้น โดยที่หลังของเขาถูกเท้าข้างหนึ่งของฉินเย่จือเหยียบไว้ด้วยแรงมหาศาล เขารู้สึกเหมือนกระดูกซี่โครงกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เขาอยากจะหลุดพ้นจากพันธนาการของฉินเย่จือ และอยากจะโค่นล้มฉินเย่จือให้ได้ อย่างไรก็ตาม ถูหมิ่นที่ผอมบางราวกับผู้หญิง ไม่สามารถเทียบกับฉินเย่จือผู้ที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตลอดทั้งปี
ถูหมิ่นดิ้นรนหลายครั้ง และในที่สุดก็หมดเรี่ยวแรง ทำได้เพียงยอมแพ้และนอนราบลงไปกับพื้น แต่ปากของเขาก็เริ่มก่นด่าออกมา
“เจ้าสองคนเป็นใครกัน พวกเจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการคุยกับกุ้ยชุนเจียว พวกเจ้ารีบไสหัวไป ไสหัวไปเดี๋ยวนี้”
กู้เสี่ยวหวานใช้โอกาสนี้ที่เพื่อกล่าวกับเขา “ถูหมิ่น ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียว เจ้าฟังให้ชัดเจน เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินนี้พวกเราจะไม่ให้เจ้า!” กู้เสี่ยวหวานจงใจเน้นที่ละคำเพื่อให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจน
“สาวน้อยเสี่ยวหวาน เจ้าต้องการทำอะไร หากข้าไม่ให้เงินเขา เขาจะพูดเรื่องไร้สาระออกไปอย่างแน่นอน” ใบหน้าของกุ้ยซื่อประหม่า นางกอดกุ้ยชุนเจียวผู้ซึ่งกำลังสั่นสะท้านอยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยถามอย่างกังวลใจ “ถ้าถูหมิ่นผู้นี้เล่าเรื่องของชุนเจียวจริง ๆ ชีวิตของชุนเจียวก็คงจะจบลง”
ทันทีที่กุ้ยชุนเจียวได้ยินประโยคนี้ ร่างกายของนางก็สั่นสะท้านอีกครั้ง และมองถูหมิ่นอย่างโกรธแค้น หากแต่ถูหมิ่นไม่ได้ชายตามองนางเลย
นางทั้งประหม่าและหวาดกลัว เด็กผู้หญิงที่อายุเพียงสิบกว่าปี ไม่คิดว่าชื่อเสียงของตนจะพังทลาย ถ้าไม่หวาดกลัว ไม่ประหม่า แล้วจะทำอย่างไรได้อีก?
กุ้ยซื่อกอดปลอบประโลมกุ้ยชุนเจียวแน่น กระซิบบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวล กุ้ยสวิ้นเหอที่ยืนใกล้ ๆ ก็ปลอบโยนกุ้ยชุนเจียวอย่างเงียบ ๆ
กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองกุ้ยชุนเจียวอย่างอิจฉา นี่คือพ่อแม่ที่รักนางจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานเห็นความกังวลใจของกุ้ยซื่อ และรู้ว่าพวกเขาตื่นตระหนก กู้เสี่ยวหวานจึงกล่าวอย่างใจเย็น “มันง่ายมาก ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง เจ้าอยู่เพียงลำพังในโลกนี้ หากข้าฆ่าเจ้าตอนนี้ เจ้าว่าจะมีใครรู้หรือไม่ล่ะ?” กู้เสี่ยวหวานจ้องไปที่ถูหมิ่นด้วยแววตาที่ดุร้าย แววตาที่ดุร้ายของนางทำให้ถูหมิ่นตัวสั่น
ดูเหมือนว่าเด็กสาวผู้นี้จะอายุน้อยกว่ากุ้ยชุนเจียวเล็กน้อย แต่ทำไมนางถึงมีความชั่วร้ายแผ่ไปทั่วร่างกายเช่นนี้!
และคนที่อยู่บนหลังของเขา หลังจากได้ยินคำพูดที่โหดร้ายของหญิงสาว เท้าของคนที่อยู่บนหลังก็เหยียบแรงขึ้น ถูหมิ่นรู้สึกเพียงว่าส่วนที่ถูกเหยียบย่ำบนร่างกายราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“ชีวิตแลกชีวิต เจ้ากล้าหรือไม่?” ถูหมิ่นกำลังต่อสู้ดิ้นรนครั้งสุดท้าย เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานและรู้สึกกลัวเล็กน้อย หากแต่ยังแสร้งกล่าวอย่างนิ่งสงบ
“ทำไมจะไม่กล้า! หากคนอย่างเจ้าอยู่ในสังคมต่ออีกหนึ่งวันก็จะมีผู้หญิงตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าเพิ่มอีกคน ถ้าข้าฆ่าเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่ปรบมือให้” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างดุดัน
คนอย่างถูหมิ่น ในยุคนี้ถูกเรียกว่าผู้ชายเฮงซวย
ไม่สิ คนอย่างถูหมิ่นถูกเรียกว่าผู้ชายเฮงซวยก็ยังเป็นการดูหมิ่นคำว่าผู้ชายเฮงซวยเลย คนประเภทนี้ แม้แต่คำว่าผู้ชายเฮงซวยก็ไม่คู่ควร
“ฮ่า ๆ หยุดโกหกได้แล้ว เจ้าเป็นเพียงเด็กสาวจะกล้าฆ่าคนได้อย่างไร?” ถูหมิ่นแสร้งทำเป็นนิ่งสงบและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจคำพูดของกู้เสี่ยวหวานเลย
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าถูหมิ่นไม่เชื่อตนก็ไม่ได้สนใจ ใบหน้าของนางยังปรากฏรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ไปถึงดวงตา หากถูหมิ่นเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองในขณะนี้ เขาจะสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าความเย็นชาในดวงตาของกู้เสี่ยวหวานนั้นเย็นกว่าน้ำแข็งเสียอีก
“ข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวช้า ๆ “แต่ถึงข้าไม่ฆ่า แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าต้องปล่อยเจ้าไป เราจะไม่ให้เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินแก่เจ้า แต่เราก็มีวิธีที่จะทำให้เจ้าหุบปากได้”
หลังจากกู้เสี่ยวหวานกล่าวจบ นางก็เหลือบมองถูหมิ่นที่ตกตะลึงและกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า อะไรที่จะทำให้คนพูดไม่ได้ นอกจากคนตายก็มี… คนใบ้”
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานกล่าวจบ ดวงตาของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ถูหมิ่นเพียงรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังราวกับว่ามีบางอย่างที่น่ากลัว เขาตกใจมากจนร่างทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน แต่ปากของเขาก็ยังโต้กลับอย่างดื้อรั้น “เจ้า… เจ้ากล้ารึ!”
“ทำไมถึงจะไม่กล้าล่ะ เจ้ามีคารมคมคายถึงเพียงนี้ คนตายก็สามารถพูดให้มีชีวิตได้ เจ้าช่างพูดได้เก่งกาจ เกรงว่าผู้หญิงที่เจ้าเคยหลอกลวงมาก่อนจะตกหลุมรักเจ้าเพราะปากนี้ใช่หรือเปล่า?” กู้เสี่ยวหวานมองถูหมิ่นที่กำลังตัวสั่นสะท้านอย่างเย็นชา ผู้ชายประเภทนี้ ยกเว้นปากของเขา อย่างอื่นก็คงจะไร้ความสามารถ