ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 424 เหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อน
บทที่ 424 เหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อน
บทที่ 424 เหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อน
เมื่อดูจากภายนอก รถม้าคันนี้ดูงดงามตระการตา ภายในกว้างขวางและสะดวกสบาย นอกจากนี้ในรถม้ายังมีโต๊ะและมีชุดชงชาอยู่บนโต๊ะ รถม้าถูกปูด้วยพรมอย่างหนาและยังมีเบาะนุ่ม ๆ ในสภาพแวดล้อมที่สบายเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้นั่งข้างในนี้เป็นเวลาหลายวันหลายคืนก็คงจะไม่เหนื่อย
กุ้ยซื่อเข้าไปในรถม้าและพบกับหลี่ฝาน นางก็รู้สึกว่าคนผู้นี้คุ้นเคย แต่ไม่รู้ว่าเคยพบเขาที่ไหน
เมื่อมองดูการตกแต่งอันวิจิตรภายใน กุ้ยซื่ออุทานออกมาว่า “นี่คือรถม้าของตระกูลที่ร่ำรวย! นี่มันดีกว่าบ้านของเรามาก”
เสี่ยวเซิ่งจื่อเดินตามและนั่งโต๊ะข้าง ๆ เพื่อชงชา หลังจากฟังคำพูดของกุ้ยซื่อแล้ว เมื่อเห็นความอิจฉาริษยาของกุ้ยซื่อกับสิ่งของในรถ เขารู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้ เหตุใดถึงทำตัวราวกับไม่เคยเห็นโลกภายนอกเช่นนี้
นอกจากนี้ยังมีเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่ดูอ่อนแอ ด้วยรูปลักษณ์ที่อ่อนแอราวกับไม่สามารถต้านทานลมได้ แม้ว่านางจะสวมเสื้อผ้าที่มีเกียรติที่สุด ทำไมเขาถึงรู้สึกเสมอว่ามันไม่เข้ากัน
กุ้ยซื่อจ้องไปที่หลี่ฝานและเหลือบไปที่เสี่ยวเซิ่งจื่ออีกครั้ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตา แต่นางไม่รู้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
กุ้ยซื่อไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นได้ นางจึงเอ่ยปากถาม “พวกท่านดูคุ้นหน้าเป็นอย่างมาก พวกเราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่?”
ใบหน้าของหลี่ฝานเรียบเฉย เดิมทีเป็นเพราะกู้เสียวหวาน เขาจึงยอมให้กุ้ยซื่อและคนอื่น ๆ ขึ้นรถ เมื่อเห็นการสนทนาของกุ้ยซื่อ มันไม่ง่ายเลยที่จะไม่ตอบ เขากล่าวด้วยท่าทางเย็นชา “โอ้? ใช่หรือ? แต่ข้าไม่รู้จักแม่นางเลยสักนิด!”
“เช่นนั้นทำไมข้าถึงคิดว่าท่านดูคุ้นตา!” กุ้ยซื่อกล่าวอย่างสงสัย
“โอ้ จริงหรือ? ข้าเคยไปที่หมู่บ้านอู๋ซีเพียงครั้งเดียว บางทีอาจเคยเห็นข้าที่หมู่บ้านอู๋ซี?” หลี่ฟานตอบ
เมื่อกุ้ยซื่อได้ยินสิ่งนี้ ร่องรอยของความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ราวกับว่านางคิดอะไรขึ้นมาได้ แต่ก่อนที่จะกล่าวอะไรออกไป ใบหน้าของนางก็แดงขึ้นทันที นางเหลือบไปที่กู้เสียวหวานอย่างอึดอัดใจเล็กน้อย และทำได้เพียงเกาหูเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง กุ้ยซื่อจำได้ว่าคนผู้นี้และเด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขา คือคนสองคนที่ออกมาจากบ้านของกู้เสี่ยวหวาน
เมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้นที่กุ้ยซื่อใส่ร้ายชื่อเสียงของกู้เสียวหวาน นางกลัวว่าตราบใดที่นางพูดเรื่องนี้ออกไป หลี่ฝานก็คงจะไม่เต็มใจช่วยเหลือนางอีกต่อไป
กุ้ยซื่อรีบหุบปาก และกล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าจำผิด ข้าจำผิด ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าจำผิดเอง”
หลี่ฝานเหลือบมองนางและไม่พลาดความอึดอัดใจในสายตาของกุ้ยซื่อที่นางเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานราวกับว่านางต้องการเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นกู้เสียวหวานไม่ได้มองมาที่นางเลย นางจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลี่ฝานที่มีไหวพริบเดาได้ทันทีว่ากุ้ยซื่อผู้นี้ต้องรู้จักเขา และนางคงใช้เขาเพื่อทำให้กู้เสียวหวานขุ่นเคืองอย่างแน่นอน
เสี่ยวเซิ่งจื่อที่อยู่ด้านข้างพลันสังเกตเห็นความอึดอัดใจบนใบหน้าของกุ้ยซื่อ เดิมทีเขาอยากจะเอ่ยถามกู้เสียวหวานว่ากุ้ยซื่อผู้นี้ทำอะไรลงไปบ้าง แต่เพราะว่ากุ้ยซื่ออยู่ด้วยจึงไม่สะดวกที่จะถาม แต่ในใจของเขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่กู้เสี่ยวหวานไปช่วยเหลือกุ้ยซื่อ
รถม้าวิ่งไปด้วยความเร็ว เนื่องจากความเร่งรีบ เป็นเวลามากกว่าครึ่งชั่วยามกว่าจะถึงหมู่บ้านอู๋ซี
ระหว่างทางมาที่นี่ หลี่ฝานบอกกู้เสี่ยวหวานว่าจะทำอะไรบ้าง กุ้ยซื่อที่ฟังอยู่ด้านข้างก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้ ปรากฏว่านี่เป็นการทำให้สิ่งต่าง ๆ สมจริงยิ่งขึ้น หลี่ฝานผู้นี้ถึงกับเชิญผู้อาวุโสถานมาด้วย เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในเมือง ซึ่งเขาเคยเป็นอาจารย์ของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียง
รถม้าแล่นไปจนถึงประตูบ้านของครอบกุ้ย ทุกคนไม่เคยเห็นรถม้าที่หรูหราเช่นนี้มาก่อน ทุกคนจึงวิ่งออกไปดูรถม้าที่ตรงไปยังบ้านของครอบครัวกุ้ย พวกเขาทั้งหมดก็ไปที่บ้านของครอบครัวกุ้ย
พวกเขาชะเง้อคอด้วยความสงสัย อยากดูว่าใครนั่งอยู่บนรถม้า!
เมื่อพวกเขาไปถึงบ้านของครอบครัวกุ้ย กุ้ยสวิ้นเหอเป็นคนแรกที่ลงจากรถ หลี่ฝานลงจากรถเป็นคนที่สอง หลังลงจากรถและหลังจากที่ช่วยกู้เสียวหวานลงมาแล้ว เขาก็ไปที่รถม้าด้านหลังเพื่อช่วยผู้อาวุโสคนหนึ่งลงมา
หลังจากที่ช่วยกุ้ยซื่อลงมา นางก็ช่วยกุ้ยชุนเจียวมาจากข้างใน
หลังจากที่กุ้ยชุนเจียวเปลี่ยนไปสวมชุดสีเขียวน้ำทะเลและปักปิ่นปักผมสีเขียว นางราวกับนางฟ้าที่บินลงมาจากท้องฟ้า ด้วยความช่วยเหลือของกุ้ยซื่อ นางเดินลงมาอย่างเขินอาย
ชาวบ้านเมื่อเห็นชุดผ้าทอบนร่างของกุ้ยชุนเจียวที่พริ้วตามสายลมอย่างแผ่วเบา และเมื่อพวกเขามองไปที่ปิ่นบนศีรษะของนาง ทุกคนต่างก็อิจฉา
กุ้ยชุนเจียวผู้นี้ไปที่ใดมา ทำไมนางถึงแต่งตัวเช่นนี้กลับมา
หลังจากที่กู้เสียวหวานลงจากรถ นางก็ยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านข้างและเห็นหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเดินช้า ๆ เข้ามา
ผู้คนรอบ ๆ ทยอยมารวมตัวกันมากขึ้น กู้เสียวหวานมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่า ผู้คนในหมู่บ้านนี้ไม่ว่าจะเพศใด อายุเท่าไร หรือจะมีความเจ็บป่วยหรือความทุพพลภาพเพียงใด เกรงว่าพวกเขาคงจะพากันมาที่นี่ แต่เมื่อเห็นพวกกู้หนิงผิงมา นางก็โล่งใจเล็กน้อย โชคดีที่น้องชายและน้องสาวสองคนของนางไม่ชอบเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้
เมื่อหลี่ฝานช่วยผู้อาวุโสถานลงจากรถด้านหลัง หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็หยุดชะงัก จากนั้นก็วิ่งเหยาะ ๆ มาด้วยความเคารพ เมื่อใดกันที่ทุกคนเห็นหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงมีความเคารพเช่นนี้ ทุกคนต่างเฝ้ามองด้วยความสงสัย ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงวิ่งเหยาะ ๆ ไปที่ผู้อาวุโสผู้นั้น เขาก้มตัวลงเก้าสิบองศาเพื่อทำความเคารพ “อาจารย์…”
ปรากฏว่าผู้อาวุโสผู้นี้คืออาจารย์ถานที่ในอดีตเคยสอนหนังสือแก่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเป็นเวลาหนึ่งปี
สมัยนั้น ผู้อาวุโสถานเพิ่งเข้าเป็นบัณฑิตและเปิดสำนักศึกษาในเมืองหลิวเจีย หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของอาจารย์ถาน หนึ่งปีต่อมา เนื่องจากอาจารย์ถานต้องเข้ารับช่วงต่อกิจการร้านของครอบครัว เขาจึงได้ปิดสำนักศึกษาไป
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงกลายเป็นหนึ่งในนักเรียนไม่กี่คนในชีวิตของอาจารย์ถาน สำหรับหัวหน้าหมู่บ้านเหลียง เนื่องจากตอนนั้นเขาที่เรียนอยู่ที่สำนักศึกษา อาจารย์ถานดูแลเขาเป็นอย่างดีและให้ความรู้แก่เขามากมาย เขาจึงเคารพอาจารย์ถานเป็นอย่างมาก ต่อมากิจการของอาจารย์ถานเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และลูกชายของอาจารย์ถานก็ไปที่อื่น อาจารย์ถานจึงต้องไปกับเขาด้วย และเป็นเรื่องยากที่จะกลับมาที่เมืองหลิวเจียอีก
แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่า อาจารย์ถานผู้นี้จะมาที่หมู่บ้านอู๋ซีจริง ๆ
“ท่านอาจารย์…” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงทำความเคารพและเรียกอย่างตื่นเต้น “ข้าไม่ได้พบท่านมากว่าสี่สิบปีแล้ว อาจารย์ก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงเช่นเดิม!”
เมื่ออาจารย์ถานเห็นนักเรียนของเขา เขาก็รู้สึกสะเทือนใจมาก “ใช่แล้ว เกือบสี่สิบกว่าปีแล้วที่ข้าออกจากเมืองหลิวเจียไป ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเราจะได้มาพบกันในหมู่บ้านอู๋ซีแห่งนี้!”
อาจารย์ถานอายุประมาณเจ็ดสิบปี ผมและเคราทั้งหมดของเขาเป็นสีขาว แต่เนื่องจากเขาไม่ต้องทำงานหนักและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ใบหน้าของเขาจึงดูสมบูรณ์และร่างกายแข็งแรง