ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 578 กุ้ยตงเหมยมีเจตนาดี
บทที่ 578 กุ้ยตงเหมยมีเจตนาดี
บทที่ 578 กุ้ยตงเหมยมีเจตนาดี
“เจ้าบอกว่าเรือของเจ้าถูกปล้นหรือ?” ฉินเย่จือเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
คนพายเรือตอบรับ แล้วลุกขึ้นยืนฉับไว
ครั้งสุดท้ายที่เห็นฉินเย่จือ เขาไม่กลัวเลยและรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มสถบด่าคนที่ทำร้ายและขโมยเรือเขาไป “ใช่แล้ว ข้าพักผ่อนอยู่ ไม่รู้ว่าใครมาทำให้ข้าหมดสติ”
“เมื่อไร?” หัวใจของฉินเย่จือบีบรัด พลางขมวดคิ้วแน่น
“ตอนนั้นมันมืดแล้ว ไม่รู้ว่ามันดึกแค่ไหน แต่ไม่มีใครอยู่บนถนนเลย”
เวลาแทบจะไม่ต่างกันเลย!
ฉินเย่จือมีความห่วงใยอยู่ในใจและมองไปรอบ ๆ “เจ้ายังมีเรืออยู่หรือไม่?”
“มี แต่มันเป็นลำเล็ก เจ้าต้องการนั่งเรือหรือ?” ชายผู้นั้นมองไปยังใบหน้าที่มืดมิดของฉินเย่จือและรู้สึกถึงกลองเล็ก ๆ ที่ตีอยู่ในใจ เขารู้สึกรำคาญเล็กน้อยเมื่อพูดประโยคนั้นโดยไม่ตั้งใจ เมื่อครู่ทำไมเขาถึงพูดเช่นนั้น
“ไป!” ฉินเย่จือกล่าวอย่างกระตือรือร้นและกระโดดขึ้นเรือที่ชายผู้นั้นชี้
เมื่อคนพายเรือเห็นใบหน้าซีดเซียวของฉินเย่จือ เขาก็แอบสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น
แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของฉินเย่จือ เขาไม่กล้าแตะต้องคนที่ไม่รู้จักนี้ เขาทำได้เพียงพายพายเรือต่อไป โดยหวังว่าจะส่งบุคคลนี้ไปที่หมู่บ้านเหมยโดยเร็วที่สุด
คนพายเรือที่ได้พักผ่อนมาค่อนคืน จึงมีแรงพายเรือและไม่ได้หยุดพักแต่อย่างใด ทำให้มาถึงหมู่บ้านเหมยเร็วกว่าที่เคย
เมื่อมาถึงท่าเรือของหมู่บ้านเหมย ชายผู้นั้นก็เห็นเรือของตนและรีบวิ่งไปสัมผัสมันด้วยความยินดี “นี่คือเรือของข้า นี่คือเรือของข้า!”
ฉินเย่จือขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะมาที่หมู่บ้านเหมยจริง ๆ
ยังมีคนพายเรืออยู่ใกล้ ๆ ที่กำลังหลับตา และพวกเขาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังของชายผู้นี้
“ใครกัน ร้องเสียงดังจนนอนกันไม่ได้แล้ว!” หนึ่งในนั้นพูด
แต่คนพายเรือรู้สึกตื่นเต้นมาก “เรือของข้าถูกขโมย และในที่สุดข้าก็พบมัน ข้าจึงมีความสุข!”
เมื่อชายผู้นั้นได้ยิน เขาก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “ว่าอย่างไรนะ? เรือลำนี้ถูกขโมยมาหรือ? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อมาถึงฝั่งจึงเสียงดังเช่นนั้น!”
ครั้นฉินเย่จือได้ยิน เขาก็มองไปที่ชายบนเรือข้าง ๆ ทันที ดูเหมือนชายผู้นั้นจะไม่ได้สังเกตฉินเย่จือ และพูดกับตัวเองว่า “ชายผู้นั้นพายเรือไม่เป็น จึงทำให้เรือมาชนข้า ทำเอาข้าตกใจแทบตกแม่น้ำ”
“ว่าอย่างไรนะ? คนเหล่านั้นทำกับเรือของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?” คนพายเรือโกรธมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “ใครกัน? คนผู้นั้นใครกัน?”
“มันมืดเกินไป ข้ามองเห็นไม่ชัด เห็นเพียงเห็นคนสองคนแบกกระสอบสองใบไว้บนบ่า ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังแบกอะไร กระสอบนั่นถูกโยนเข้าไปในรถม้าที่เดิมทีอยู่ที่นี่ จากนั้นก็ขับรถม้าจากไป!”
คนพายเรือเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ และเพียงประโยคธรรมดา ๆ ก็เหมือนกับการโยนฟางช่วยชีวิตฉินเย่จือเอาไว้
ฉินเย่จือมองไปยังทิศทางที่คนพายเรือชี้ไป ทิศทางที่รถม้าวิ่งไปนั้นเป็นทางเดียวกันกับตอนที่พวกเขาออกตามหากุ้ยชุนเจียวเมื่อครั้งนั้น
เป็นไปได้หรือว่าพวกเขาอยู่ในต้าย่วนจื่อ?
เมื่อฉินเย่จือคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ เขาดีดตัวบินขึ้นฟ้า และหายตัวไปทันที
เงาปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของคนพายเรือ และก็รู้สึกว่ามีบางอย่างบินผ่านศีรษะผ่านเขาไป
คนพายเรือตกใจและเกิดความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับไม่พบอะไรเลย
เขาต้องการหันไปคุยกับฉินเย่จือ แต่กลับพบกับเรืออันว่างเปล่า
คนที่อยู่ตรงหน้าของเขาหายตัวไปแล้ว
ฉินเย่จือรีบวิ่งไปที่ต้าย่วนจื่อ คราวที่แล้วถูหมิ่นอยู่ที่ต้าย่วนจื่อ บางทีคราวนี้เขาอาจจะอยู่ที่นั้นอีกก็ได้
ตอนนี้สายเกินไปแล้ว ตราบใดที่พบถูหมิ่น มันก็เทียบเท่ากับการค้นหากู้เสี่ยวหวาน
จนถึงตอนนี้ การหายตัวไปของกู้เสี่ยวหวานเกิดขึ้นเพราะถูหมิ่นอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ กู้เสี่ยวหวานอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
กุ้ยชุนเจียวไม่ยอมให้ถูหมิ่นเข้าใกล้ ตราบใดที่ถูหมิ่นขยับเข้าไปใกล้ กุ้ยชุนเจียวยังคงโบกมือไปมาทั้งต่อยและเตะ ไม่ยอมให้ถูหมิ่นเข้าใกล้เลยสักนิด
เมื่อเห็นท่าทางของกุ้ยชุนเจียว ถูหมิ่นก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ขณะที่เขากำลังจะพูด ร่างหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอกและเอ่ยด้วยใบหน้าดุร้าย “พี่หมิ่น ท่านยังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่ แค่ผู้หญิงคนเดียวก็จัดการไม่ได้!”
กุ้ยชุนเจียวที่กำลังดีดดิ้น เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในครั้งนี้ จึงมองไปที่ทิศทางของเสียงอย่างประหลาดใจ ปากของนางอ้ากว้างจนยัดไข่เป็ดเข้าไปได้
“ตง… ตงเหมย…” กุ้ยชุนเจียวขานชื่อน้องสาวอย่างไม่เชื่อ ดวงตาแดงก่ำ จ้องมองกุ้ยตงเหมยราวกับจะกินนางเข้าไปทั้งเป็น “ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
กุ้ยตงเหมยดูสดใสเบิกบาน และจ้อมมองที่ตนอย่างพึงพอใจ ถ้ากุ้ยชุนเจียวเดาไม่ออกว่ากุ้ยตงเหมยหมายถึงอะไร ในขณะนี้แสดงว่านางคงจะเป็นหมูที่โง่เขลาจริง ๆ
การที่นางถูกจับตัวมาที่นี่ เป็นเพราะกุ้ยตงเหมยจริง ๆ!
กุ้ยชุนเจียวแทบสิ้นสติ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
น้องสาวของตนร่วมมือกับคนที่ตนเกลียดแทบตายเพื่อลักพานางมางั้นหรือ?
สวรรค์! นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“หึ ๆ ไม่รู้สิ! เดิมทีข้ายังลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ตงเหมยแนะนำข้าแล้ว ผู้ชายน่ะต้องกล้าลงมือ จะมัวยึกยักกลัวอันใดอยู่ เกลียดผู้ใดก็ต้องแก้แค้น!” ถูหมิ่นไม่คิดว่ากุ้ยตงเหมยจะทะเล่อทะล่าเข้ามา ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีความสุขแค่ไหนเมื่อเห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกและโศกเศร้าของกุ้ยชุนเจียว
“เจ้า…เจ้าสารเลว!” กุ้ยชุนเจียวกรีดร้องบ้าคลั่ง ดวงตาแดงก่ำราวกับว่าจะฉีกเนื้อคนตรงหน้าเป็นชิ้น ๆ
‘สารเลว’ ไม่รู้ว่าด่าถูหมิ่นหรือกุ้ยตงเหมย
เมื่อกุ้ยตงเหมยได้ยินกุ้ยชุนเจียวด่าตนเอง นางก็โกรธมากจนอยากจะฉีกกุ้ยชุนเจียวด้วยมือของนาง
“กุ้ยชุนเจียว เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาด่าข้า?” กุ้ยตงเหมยด่าอย่างโกรธจัด “เจ้ากับพ่อแม่ของเจ้าร่วมมือกันรังแกข้า และปล่อยให้ข้ายั่วยวนหลี่ฟาน เพียงเพื่อเจ้าจะได้เป็นผู้ร่ำรวยในอนาคต แต่เจ้าล่ะ เจ้ากลับเป็นผู้มีบุญคุณของหลี่ฝาน แล้วข้าล่ะ? ชื่อเสียงของข้าพังยับเยิน ในอนาคตข้าจะทำอย่างไร? ข้าเกลียดเจ้า ข้าหวังว่าชื่อเสียงของเจ้าจะถูกทำลายในตอนนี้!”
“แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็คือพี่สาวของข้า และข้าจะไม่ทำเช่นนั้นกับเจ้า! ไม่ต้องกังวลไป ข้าเพียงตามเจ้ามาให้พี่หมิ่นที่เจ้าคิดถึง พี่หมิ่นบอกแล้วว่าเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี!” น้ำเสียงของนางราวกับจะบอกกุ้ยชุนเจียวว่านางมีเจตนาดีและนางควรรู้วิธีขอบคุณ