ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 661 อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
บทที่ 661 อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
บทที่ 661 อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ครู่หนึ่ง และมองฉินเย่จือด้วยแววตายั่วยุ ชายหนุ่มรู้ว่านางจงใจทำ แต่เขาก็ไม่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากร่างกายของตนเอง เนื่องจากเขาถูกคุมขังเป็นเวลาเกือบหกเจ็ดวันแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้อาบน้ำ ทุกส่วนบนร่างกายจึงมีกลิ่นส่งออกมา
ฉินเย่จือยิ้มอย่างเขินอาย “เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าจะรีบกลับมา”
พูดจบ เขาก็ค่อย ๆ ดึงแขนออกจากใต้ศีรษะของกู้เสี่ยวหวาน
ดวงตาเฉียบคมของกู้เสี่ยวหวานพบว่าแขนของเขาอาจถูกวางอยู่ใต้ศีรษะตนเองมาเนิ่นนาน และแม้แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย เกรงว่าแขนของเขาจะรู้สึกชาหมดแล้ว
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกลำบากใจ
ฉินเย่จือป้อนน้ำให้กู้เสี่ยวหวานจิบเล็กน้อย ดึงผ้านวมคลุมลงบนร่างกายของนาง ก่อนจะผละออกไป
ทันทีที่เขาออกไป ก็ได้พบกับหลี่ฝาน
เมื่อเถ้าแก่หลี่ได้ยินว่านายท่านของเขาต้องการอาบน้ำ ดังนั้นเขาจึงตอบรับทันที และหลังจากสั่งคนรับใช้ไปเตรียมน้ำร้อน และส่งคนไปที่ร้านขายผ้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าตามขนาดของฉินเย่จือและกู้เสี่ยวหวาน
หลังจากที่ฉินเย่จืออาบน้ำเสร็จ เสื้อผ้าก็ถูกซื้อมาจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย
หลี่ฝานไม่กล้าซื้อของที่มีมากเกินไป เนื่องจากตอนนี้ตัวตนของนายท่านคือขอทานเร่ร่อนที่กู้เสี่ยวหวานรับเลี้ยง เขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของนายท่านได้ แม้จะไม่รู้ว่านายท่านต้องการทำอะไร แต่เรื่องของนายท่านไม่ใช่สิ่งที่เขาซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจะสามารถพูดได้!
เขาซื้อเสื้อผ้าตามวัสดุของผ้าที่ฉินเย่จือใส่ในวันปกติ หลังจากทำความสะอาดร่างกาย ใบหน้าของเขาพลันดูเปล่งปลั่งขึ้น และได้พบกับหมอพานซึ่งรออยู่ที่ห้องรับรอง
“แม่นางกู้ตื่นแล้วหรือ?” น้ำเสียงหมอพานเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ฉินเย่จือพยักหน้า เนื่องจากได้พักผ่อนและทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำร้อน ตอนนี้จึงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
หลังจากที่ทั้งสามเข้าไปในห้อง หลี่ฝานก็ดึงหมอพานออกมา โดยมีฉินเย่จือเข้าไปในห้องคนเดียว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนดังมากจากห้องด้านใน “เจ้าไม่ได้นอนหรือ?”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาเบา ๆ “ข้านอนมาหลายวันแล้ว นอนจนจะกลายเป็นงูอยู่แล้ว!”
“ท่านหมอพานมาแล้ว ให้เขามาตรวจชีพจรเจ้าก่อน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ฝานและหมอพานก็เข้าไปในห้องด้านหลังด้วยกัน
เมื่อพวกเขาเหยียบเข้าไป ดวงตากลมโตกำลังกะพริบตาปริบมองมายังพวกเขาสองคน “ท่านลุงหลี่… ท่านหมอพาน…”
ทั้งสองส่งเสียงตอบรับ
พวกเขาทั้งหมดถอนหายใจอย่างโล่งอก โดยเฉพาะหมอพาน
ดีแค่ไหนที่เด็กคนนี้ไม่ถูกเผาสมองแล้ว
หลังจากที่หมอพานตวรจชีพจรเสร็จ ก็พบว่าชีพจรของนางนั้นยังอ่อนอยู่ บางทีหลังจากป่วยหนัก ร่างกายของนางอาจจะยังอ่อนแออยู่บ้าง แต่นางสามารถฟื้นตัวได้ด้วยการพักผ่อนให้มากขึ้น!
“ร่างกายของแม่นางกู้ฟื้นฟูขึ้นแล้ว ถ้าในอนาคตเจ้าดูแลตนเองมากขึ้น เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตที่ร่าเริงได้เหมือนเมื่อก่อน!” หมอพานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ฉินเย่จือถอนหายใจด้วยความโล่งอก สายตาไม่เคยละไปจากเสี่ยวหวานแม้แต่เสี้ยวลมหายใจ ครั้นเห็นหมอพานบอกว่านางสบายดี เขาจึงรู้สึกสบายใจ
เมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าอวบอิ่มตอบลง เขาจึงคิดว่าต่อจากนี้ไปจะต้องดูแลนางอย่างดี และจะไม่ปล่อยให้นางผอมไปมากกว่านี้
หลี่ฝานเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานมีเลือดฝาดมากกว่าวันก่อนมากนัก แม้ว่าจะเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าตอนหมดสติครั้งก่อนอยู่มาก แค่ฟื้นขึ้นมา พูดจาคล่องแคล่ว และมีจิตใจที่แจ่มใสก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว
มาคิดดูแล้ว นายท่านก็น่าจะโล่งใจเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ฝานก็แอบเหลือบตาขึ้นมามองที่ฉินเย่จือ และก็เห็นว่านายท่านมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้มที่สดใส ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้ม ไม่มีวี่แววเหมือนจะขุ่นเคืองเหมือนก่อนหน้านี้
หลี่ฝานขมวดคิ้ว บ่นอุบอิบในใจ ฟื้นก็ดีแล้ว ฟื้นก็ดีแล้ว
เมื่อนางฟื้นแล้ว การคุกเข่าของคนในห้องรับรองของตนก็ควรจะสิ้นสุดลง เขาสามารถบอกข่าวดีแก่อาโม่ได้ในภายหลัง และไม่ปล่อยให้เขาโทษตนเองอีก
หมอพานได้สั่งจ่ายยาบำรุงร่างกาย และยาทุกชนิดล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
กู้เสี่ยวหวานสัมผัสได้ถึงความกังวลของทุกคน ก็พลันรู้สึกเศร้า ยามนางป่วยหนัก แต่กลับมีคนมากมายค่อยเป็นห่วงและกังวล
กู้เสี่ยวหวานมองใบหน้าเคร่งขรึมของทุกคนก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางยื่นมือออกมาและดึงเสื้อผ้าของฉินเย่จือ และดวงตากลมโตราวกับลูกแก้วของนางสว่างวาบขึ้น
เพื่อแค่มองแววตา ฉินเย่จือสามารถเข้าใจได้ทันที ชายหนุ่มพยักหน้า และทำความเคารพหมอพานและเถ้าแก่หลี่ หากแต่หลี่ฝานสะดุ้งตัวโหยงไปด้านข้างด้วยความตกใจ
ท่าทางน่าอายของเขาทำให้กู้เสี่ยวหวานสงสัย และใช้ดวงตากลมคู่นั้นมองตน “ท่านลุงหลี่ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”
หลี่ฝานเพิ่งตระหนักได้ว่าคำพูดและการกระทำของเขาในตอนนี้มันสุดโต่งและมีพิรุธเกินไป เมื่อมองไปที่ฉินเย่จืออีกครั้ง ก็พบว่าเขามองตนเองอย่างเฉยเมย หลี่ฝานเข้าใจทันทีว่านายท่านกำลังกลับสู่ตัวตนของตัวเองในตระกูลกู้
เขาทำได้เพียงยอมรับการเคารพของฉินเย่จือเท่านั้น “ขอบคุณเถ้าแก่หลี่และท่านหมอพานสำหรับการช่วยชีวิตในครั้งนี้! ข้าขอขอบคุณท่านทั้งสองในนามของเสี่ยวหวาน”
หมอพานไม่รู้จักตัวตนของฉินเย่จือ เมื่อเขาเห็นการกระทำเช่นนี้ เขาและหลี่ฝานก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นหมอ และนี่ย่อมเป็นหน้าที่ของข้า!”
หลี่ฝานรู้สึกเขินอายเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้มที่ผิดธรรมชาติ “เสี่ยวหวานเป็นคนในร้านอาหารของข้า การช่วยนางย่อมเป็นเรื่องปกติ! ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวล!”
ทั้งสองพูดจากันด้วยความสุภาพ คนหนึ่งจริงใจและอีกคนจริงใจเช่นกัน แต่ความหมายของคำเหล่านี้ค่อนข้างน่าอาย
ดูเหมือนว่าจะเน้นว่าเรื่องการช่วยชีวิตกู้เสี่ยวหวานเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนควรจะทำอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม กู้เสี่ยวหวานไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องทั่วไป ถูกต้องแล้วที่นางเป็นคนทำบัญชีในร้านอาหาร แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่ฝานช่วยชีวิตนางไว้ นางก็จะไม่มีวันลืมความเมตตานี้!
“ท่านลุงหลี่ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า ข้าจะจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ในใจ” กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหลี่ฝานยังคงก้มหน้าลง จึงพูดอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเสียงของนางจะเบาลงเล็กน้อย แต่คำพูดของนางก็มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“เสี่ยวหวาน ถ้าเจ้าขอบคุณข้าอีกครั้ง ลุงหลี่คนนี้คงจะอายจริงแล้วนะ ๆ!” หลี่ฝานหน้าแดงเล็กน้อย เหลือบมองกู้เสี่ยวหวานด้วยแก้มแดงก่ำและพูดว่า “ฉินเย่จือคือคนที่ช่วยชีวิตเจ้าจากกองไฟ คนที่มาบอกข้าว่าเจ้าหายไปแล้วก็คือฉือโถว ข้าเพียงแค่จัดสถานที่ให้เจ้าพักฟื้นเท่านั้น!”