ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 670 บอกความจริงกับหนิงอัน
บทที่ 670 บอกความจริงกับหนิงอัน
บทที่ 670 บอกความจริงกับหนิงอัน
ดวงตาของฉินเย่จือจดจ่ออยู่บนหนังสือในมือ หรือไม่ก็บนใบหน้าของกู้เสี่ยวหวาน พวกเขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกได้ทันทีว่าทั้งหมดนี้ช่างทิ่มแทงสายตา รู้สึกเหมือนมีอะไรมาแทงหัวใจ มันเจ็บไปหมด
“ท่านพี่…” กู้หนิงอันตัวสั่นสะท้านทั้งตัวเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับกู้เสี่ยวหวาน แต่เมื่อเข้ามาในเวลานี้ เขาเห็นพี่สาวและพี่ใหญ่ฉินพูดคุยและหัวเราะด้วยกัน กู้หนิงอันจึงคลายความกังวลใจ และเขาก็รีบเดินไปหากู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้า กู้เสี่ยวหวานก็เงยหน้าขึ้นและเห็นกู้หนิงอันวิ่งอย่างตื่นเต้น นางยิ้มเมื่อเห็นมันและลุกขึ้นยืน หนังสือในมือของนางยื่นไปด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างก็รับมันมาอย่างเป็นธรรมชาติและวางไว้อย่างเรียบร้อย
“หนิงอัน เจ้ากลับมาแล้ว!”
“ท่านพี่…” กู้หนิงอันวิ่งเหยาะ ๆ ไปข้างหน้าและกอดกู้เสี่ยวหวานเอาไว้
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานกว่าครึ่งเดือน กู้เสี่ยวหวานดูซูบผอม ใบหน้าของนางตอบลงกว่าเดิมมาก “ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นที่บ้าน? ทำไมบ้านของเราถึงถูกไฟไหม้? ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่? ทำไมถึงผอมลงเช่นนี้?”
กู้หนิงอันมีคำถามสี่ข้อ กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หนิงอัน เจ้าถามคำถามข้ามากมาย เจ้าต้องการให้ข้าตอบอะไรก่อนล่ะ?”
“ท่านพี่อย่าล้อเล่นสิ ข้าจริงจังนะ!” กู้หนิงอันเห็นท่าทางล้อเล่นของพี่สาว ก็กังวลจนแทบจะร้องไห้
สวีเฉิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเอ่ยถามอย่างทุกข์ใจ “เสี่ยวหวาน เจ้าได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่?”
กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าสวีเฉิงเจ๋อก็อยู่ที่นี่ด้วยและพูดว่า “พี่เฉิงเจ๋อมาแล้ว”
เสียงของกู้เสี่ยวหวานดังชัดเจน แต่เนื่องจากการเจ็บป่วยที่รุนแรงเมื่อไม่นานมานี้ เสียงจึงอ่อนแอเล็กน้อย แต่เมื่อสวีเฉิงเจ๋อได้ยินมันก็ราวกับเสียงสวรรค์บนดิน
อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของฉินเย่จือที่ด้านข้างไม่ดีเท่าไรนัก
การเรียกขานของสวีเฉิงเจ๋อช่างนุ่มนวลยิ่งนัก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่จือก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี
เมื่อมองไปที่สวีเฉิงเจ๋อซึ่งอบอุ่นราวกับหยก จึงเกิดการเปรียบเทียบ ร่างกายของเขาพลันรู้สึกเย็นชา
กู้เสี่ยวหวานไม่ทราบถึงความหนาวเย็นที่เกิดจากฉินเย่จือซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง
อย่างไรก็ตาม สวีเฉิงเจ๋อซึ่งอยู่ด้านข้างเห็นความเย็นชาบนใบหน้าของฉินเย่จือ
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานเชิญสวีเฉิงเจ๋อนั่งลง ฉินเย่จือก็รู้สึกอึดอัดมากขึ้นเมื่อมองไปที่ท่าทางที่สนิทสนมนั้น
ดวงตาเรียวยาวดูดีหรี่ลงเล็กน้อย และมองสวีเฉิงเจ๋ออย่างระมัดระวัง
อย่างไรก็ตาม สวีเฉิงเจ๋ออารมณ์ดีเพราะถูกกู้เสี่ยวหวานเรียกเขาว่าพี่เฉิงเจ๋อ เมื่อเขามาที่นี่เมื่อครู่นี้ เขาเห็นกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือมีท่าทีสนิทสนม และเมื่อเห็นฉินเย่จือไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม เขาก็เหลือบมองฉินเย่จืออย่างยั่วยุและพึงพอใจมาก
ฉินเย่จือเห็นท่าทียั่วยุของสวีเฉิงเจ๋อจึงยิ่งอิจฉามากขึ้นในใจ เขาเหลือบไปที่กู้เสี่ยวหวานซึ่งไม่รู้อะไรเลย และคิดว่าคงจะดีถ้ากู้เสี่ยวหวานสามารถเรียกเขาว่าพี่เย่จือได้
“เสี่ยวหวาน ข้าเคยไปที่ร้านจิ่นฝูมาแล้ว เถ้าแก่หลี่บอกว่าเจ้ากำลังพักผ่อนที่บ้านของเขา เจ้าสบายดีหรือไม่?” สวีเฉิงเจ๋อไม่ได้บอกว่าเขาเคยไปที่ร้านจิ่นฝูหลายครั้งแล้ว หากพูดไปจะทำให้กู้หนิงอันเป็นกังวล
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ นางก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “พี่เฉิงเจ๋อไปที่ร้านจิ่นฝูหรือ?”
เมื่อเห็นสวีเฉิงเจ๋อพยักหน้า กู้เสี่ยวหวานก็ขมวดคิ้ว บางทีอาจเป็นตอนที่นางป่วย ลุงหลี่เลยไม่ได้บอกนาง!
เมื่อได้ยิน กู้หนิงอันก็จับมือกู้เสี่ยวหวานอย่างกังวล “ท่านพี่ป่วยหรือ? เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลและเศร้าของน้องชาย กู้เสี่ยวหวานจึงรีบปลอบเขาอย่างรวดเร็ว “ข้าสบายดี ดูสิ ข้าบายดี!”
กู้หนิงอันกำลังจะร้องไห้ เมื่อเขาอยู่บนรถม้า กู้หนิงผิงหยุดพูดไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เขาได้ยินจากอาจารย์ของเขาว่ากู้เสี่ยวหวานเคยพักฟื้นในร้านจิ่นฝู มันต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
ทุกคนในครอบครัวกำลังซ่อนเรื่องราวจากเขา!
บัดซบ ทำไมเขาไม่กลับบ้านมาในช่วงเวลานั้นกัน
เขาสมควรตาย สมควรตายจริง ๆ!
กู้หนิงอันโทษตัวเองและกำลังจะร้องไห้ กู้หนิงผิงที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นว่าพี่สาวยังไม่เปิดปากพูดความจริงทั้งหมด จึงเกิดความกังวล “ท่านพี่ บอกเรื่องทุกอย่างกับเขาเถอะ! เขาเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวของเรา และเขามีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเราบ้าง!”
กู้เสี่ยวหวานเหลือบไปที่กู้หนิงผิงที่กำลังอยู่ในอาการกังวล จากนั้นก็เหลือบไปที่กู้หนิงอันที่เป็นทุกข์และสวีเฉิงเจ๋อที่กำลังรอคำอธิบายของนาง กู้เสี่ยวหวานก็เงียบไป
“หวานเอ๋อร์ ไม่เป็นไร หนิงอันเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว และเขามีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในครอบครัวบ้าง!”
เมื่อฉินเย่จือเห็นกู้เสี่ยวหวานมองมาที่เขาด้วยท่าทางสับสน ฉินเย่จือก็มองนางอย่างมั่นคงราวกับให้กำลังใจนาง
สวีเฉิงเจ๋อที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินว่าฉินเย่จือเรียกกู้เสี่ยวหวานหวานเอ๋อร์ ความหึงหวงที่หายไปเมื่อครู่ก็กลับมา และรู้สึกอึดอัดภายในใจ
“หนิงอัน ข้าต้องการบอกบางอย่าง” กู้เสี่ยวหวานคิดมาตลอดว่าจะไม่บอกกู้หนิงอันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าเรื่องของนางจะส่งผลต่อการศึกษาของกู้หนิงอัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กู้หนิงผิงและฉินเย่จือพูดนั้นถูกต้อง กู้หนิงอันเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวและเขามีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในครอบครัว
ยิ่งกว่านั้น ทุกคนรู้เรื่องนี้แล้ว แม้ว่านางจะไม่อยากบอกกู้หนิงอันในตอนนี้ แต่ข่าวลือก็จะเข้าหูเขาในสักวันหนึ่ง
“หนิงอัน ข้าถูกคนในหมู่บ้านมัดไว้กับเสาเพราะพวกเขาคิดว่าข้าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง พวกเขาต้องการจุดไฟเผาข้าให้ตาย ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ฉินและท่านลุงหลี่ที่ช่วยข้าไว้ ไม่เช่นนั้น พี่สาวของเจ้าคงจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้แหละ” กู้เสี่ยวหวานพูดพลางถอนหายใจ ราวกับว่านางกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น
หลังจากประสบกับเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นและคิดว่านางยังคงปลอดภัยอยู่ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกมีความสุข
กู้เสี่ยวหวานพูดจบอย่างเงียบ ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวกู้และตัวนางเองในช่วงเวลานี้ แต่กู้หนิงอันและสวีเฉิงเจ๋อที่กำลังฟังอยู่ด้านข้างนั้นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก!
ใบหน้าของทั้งสองคนซีดเผือด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เมื่อไรเด็ก ๆ พวกนี้จะหมดเคราะห์กันสักทีนะ ให้พวกเขาได้มีชีวีตดี ๆ เหมือนคนอื่นบ้างเถอะ
ไหหม่า(海馬)