ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 672 พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง
บทที่ 672 พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง
บทที่ 672 พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง
แต่ตอนนี้นางเกือบตายด้วยน้ำมือของกู้ฉวนลู่ และจะไม่สนใจญาติเหล่านั้นอีกต่อไป
ครอบครัวของกู้ฉวนลู่เย่อหยิ่ง ยามเห็นในสิ่งที่พวกเขาทำ กู้เสี่ยวหวานไม่เคยซักไซ้ ไม่ใช่ว่ากู้เสี่ยวหวานไม่อยากทำ แต่นางมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว และมันไม่มีค่าที่จะไปสนใจพวกเขา
แต่การไม่ได้ซักไซ้พวกเขา ไม่ได้หมายความว่ากู้เสี่ยวหวานกลัว
ยิ่งกว่านั้น การไม่ซักไซ้จะทำให้สิ่งเหล่านี้ผิดกฎหมายมากขึ้น
กู้เสี่ยวหวานยังคิดด้วยว่า ถ้านางหาเงินได้มากกว่านี้ ชีวิตของนางจะไม่เป็นเช่นนี้ แต่ในท้ายที่สุดมันก็ยังคงว่างเปล่า
กู้เสี่ยวหวานไม่พอใจ!
ครอบครัวใหญ่ตระกูลกู้ ตั้งแต่กู้ฉวนลู่ไปจนถึงซุนซื่อ กู้จือเหวิน และกู้ซินเถา สุดท้ายล้วนไม่ใช่คนดี
พวกเขามีความคิดชั่วร้ายและต้องการข่มเหงคนอื่นอยู่เสมอ ตอนนี้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะไม่คิดอุบายที่ชั่วร้ายมากขึ้นในครั้งต่อไป
“เอาล่ะ! ข้ารับปากกับพวกเจ้าว่าเราจะตัดขาดกับตระกูลกู้ และออกจากตระกูลกู้! ต่างคนต่างไป!”
กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างหนักแน่น
ต้องขอโทษพ่อแม่กู้ ครอบครัวของกู้ฉวนลู่รังแกพวกนางมากเกินไป โดยอาศัยความสัมพันธ์ในครอบครัวเพียงเล็กน้อย พวกเขากำลังทำสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดและทำร้ายพวกนาง
กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่คนหัวอ่อน ใครที่ปฏิบัติกับนางอย่างดี นางก็จะให้คืนกลับไปเช่นนั้น แต่ถ้าใครทำไม่ดีกับนาง นางก็จะไม่ยอมแพ้
ครอบครัวของกู้ฉวนลู่มักจะใช้กลอุบายกับนาง ดังนั้นอย่าโทษว่านางโหดร้าย
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเห็นด้วย กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงก็ยิ้มให้กันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลังจากที่ทุกคนพูดคุยกัน “พวกเราก็เลิกคุยเกี่ยวกับเรื่องไม่น่าอภิรมย์พวกนี้เถอะ” จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็กล่าวถึงการสร้างบ้านใหม่ของพวกนางในวันที่เก้าเดือนห้าอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อได้ยินว่าครอบครัวของเขากำลังจะสร้างบ้านใหม่ กู้หนิงอันก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน “อาจารย์ ในวันนั้นข้าขอลาครึ่งวันได้หรือไม่?”
เรื่องใหญ่ที่เป็นความสุขของครอบครัว กู้หนิงอันที่เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวก็อยากจะเข้าร่วมเป็นธรรมดา
สวีเฉิงเจ๋อรู้ดีอยู่แล้วและยิ้มเห็นด้วย “แน่นอน!”
ทุกคนพูดคุยกันอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานต้องการให้สวีเฉิงเจ๋ออยู่ทานอาหารค่ำ แต่เนื่องจากมีธุระในหอหนังสืออวี้ เขาจึงรีบขอตัวออกมา
หลังจากฟังคำอธิบายของกู้หนิงอัน กู้เสี่ยวหวานก็ซาบซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง นางเดินไปส่งสวีเฉิงเจ๋อที่ประตู “พี่เฉิงเจ๋อ ข้าขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้ท่านกังวลเกี่ยวกับเรื่องของข้า ข้ารู้สึกเสียใจจริง ๆ!”
“เสี่ยวหวาน เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า หากในอนาคตเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้า แค่เจ้าต้องพูดออกมา พี่เฉิงเจ๋อก็จะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!” สวีเฉิงเจ๋อพูดอย่างจริงใจ และฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างก็รับฟัง แต่กลับไม่ยินดียินร้ายอะไร
และเห็นกู้เสี่ยวหวานตื่นเต้น “ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่เฉิงเจ๋อ!”
เสียงของกู้เสี่ยวหวานเจือสะอื้น นางมองไปที่สวีเฉิงเจ๋อด้วยความขอบคุณ
สวีเฉิงเจ๋อก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างจดจ่อ กู้เสี่ยวหวานประทับใจในความรู้สึกของเขา และไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นใด แต่ฉินเย่จือที่อยู่ด้านข้างไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
นางคือลูกแมวของเขา เขาจะยอมให้ผู้ชายคนอื่นแย่งไปได้อย่างไร!
จิตใจของสวีเฉิงเจ๋อผู้นี้ ความในใจซือหม่าเจา แม้คนผ่านทางยังล่วงรู้*[1]
ฉินเย่จือเห็นมันได้อย่างชัดเจนตั้งแต่วันแรก เกรงว่ามีเพียงเด็กครึ่งขวบเหล่านี้เท่านั้นที่ยังไม่รู้ว่าความรักระหว่างชายและหญิงนี้หมายถึงอะไร!
ฉินเย่จือก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยืนอยู่ข้างหน้ากู้เสี่ยวหวานและปิดกั้นการมองเห็นของสวีเฉิงเจ๋อ
ฉินเย่จือเหลือบมองสวีเฉิงเจ๋ออย่างมุ่งร้าย เมื่อสวีเฉิงเจ๋อกำลังจะพูด ฉินเย่จือก็หันกลับมาก้มศีรษะลงและพูดเบา ๆ กับกู้เสี่ยวหวานว่า “หวานเอ๋อร์ ข้างนอกมีลมแรง ร่างกายของเจ้าเพิ่งจะหายดี ระวังเป็นหวัด!”
ความอ่อนโยนนั้นราวกับสายน้ำ หน้าตาบึ้งตึงเมื่อเผชิญหน้ากับสวีเฉิงเจ๋อไปอยู่ที่ไหนกันในตอนนี้
น้ำในดวงตาเปรียบเหมือนละอองฝนที่มีมาช้านาน
ความหมายข้างในนั้นเกรงว่ามีเพียงเขาและฉินเย่จือที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้นที่จะเข้าใจได้
แต่ไม่เป็นไร กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจ นั่นก็หมายความว่านางไม่เข้าใจความโปรดปรานของฉินเย่จือเช่นกัน
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังมีโอกาส ยังมีโอกาส!
สวีเฉิงเจ๋อตื่นเต้นมากจนเอ่ยอย่างประหม่าเสียงแผ่ว “ใช่แล้ว เสี่ยวหวาน เจ้ารีบเข้าไปเถอะ ข้างนอกลมแรง อย่าอยู่ข้างนอกจนเป็นหวัดล่ะ พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนข้าจะมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง!”
กู้เสี่ยวหวานมาอาศัยอยู่ในเมือง รถม้าที่มาจากหอหนังสืออวี้จึงใช้เวลาเพียงสองเค่อเท่านั้น ใกล้มาก ใกล้มาก!
พรุ่งนี้เขาจะมาอีกหรือ?
ใบหน้าของฉินเย่จือไม่มีความสุข คิ้วของเขาขมวดแน่น เขาเหลือบมองที่สวีเฉิงเจ๋อ และเห็นว่าเขากำลังยิ้มอย่างมีชัย
เมื่อเห็นใบหน้าไม่สู้ดีนักของฉินเย่จือ สวีเฉิงเจ๋อก็ไม่สามารถพูดได้ว่าเขามีความสุขแค่ไหน
กู้หนิงผิงปรบมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ตอนนี้เราอาศัยอยู่ในเมือง และอยู่ใกล้กับหอหนังสืออวี้มาก พี่หนิงอันสามารถกลับบ้านได้ทุกวัน ถ้าพี่เฉิงเจ๋อต้องการมาก็สามารถมาได้ทุกวัน!”
กู้เสี่ยวหวานเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ “ใช่แล้ว พี่เฉิงเจ๋อ เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในหมู่บ้านอู๋ซี ท่านพูดเสมอว่าต้องการกินอาหารฝีมือข้า แต่ก็น้อยครั้งนักที่จะได้กิน คราวนี้ถ้าท่านอยากกินอาหารที่ข้าทำ ท่านก็สามารถมาได้ทุกเมื่อ!”
เมื่อได้ยินคำเชิญของกู้เสี่ยวหวาน สวีเฉิงเจ๋อก็ยิ้มจนตาปิด “ตกลง เนื่องจากเสี่ยวหวานเชิญข้าด้วยความกรุณา ข้าจึงจะทำตามที่เจ้าต้องการ! หากในอนาคตข้ามาที่นี่บ่อยขึ้น เสี่ยวหวานก็อย่าเบื่อข้าไปก่อนเสียล่ะ!”
“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร! ” กู้เสี่ยวหวานพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินและพูดคุยอย่างมีความสุข ฉินเย่จือก็รู้สึกไม่มีความสุข!
ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็ถูกอุ้มขึ้น นางรู้สึกเพียงว่าโลกกำลังหมุนและเอาแขนโอบรอบคอของฉินเย่จือไว้อย่างประหม่า ความสนิทสนมเช่นนั้นดูเหมือนจะเคยทำเช่นนี้มาก่อนมากกว่าหนึ่งหรือสองครั้ง
“ร่างกายของหวานเอ๋อร์เพิ่งจะหายดี เกรงว่าพรุ่งนี้นายน้อยสวีจะไม่ได้กิน ถ้าอยากกินก็กลับมาทีหลัง!” ฉินเย่จือพูดอย่างไม่พอใจ
“ร่างกายของข้าหายดีแล้ว!” เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยิน นางก็รีบแย้งอย่างรวดเร็ว
“ข้าบอกว่าไม่ดีก็คือไม่ดี ดูสิ ร่างกายเจ้าเหลือเนื้ออยู่เท่าไร? ยังต้องการทำอาหารให้คนอื่นกินอีกหรือ? ตะหลิวเจ้ายกไหวหรือไม่?” เสียงของฉินเย่จือปฏิเสธอย่างเอาแต่ใจ ความทุกข์นั้นไม่สามารถปิดบังได้
“ข้าจะอ่อนแอเช่นนั้นได้อย่างไร แค่ตะหลิวมันจะหนักเท่าไรกัน!” กู้เสี่ยวหวานพึมพำอย่างไม่พอใจ
*[1] อธิบายถึงพฤติกรรม ความประสงค์ หรือแผนการชั่วร้ายของบุคคลใด ที่แม้บุคคลนั้นจะไม่ประกาศหรือแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่คนทั่วไปก็สามารถรับรู้ได้