ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 676 ได้ยินว่าเจียงหย่วนกลับมาแล้ว
บทที่ 676 ได้ยินว่าเจียงหย่วนกลับมาแล้ว
บทที่ 676 ได้ยินว่าเจียงหย่วนกลับมาแล้ว
“ทำไมหนิงอันไม่กลับมากับเจ้าล่ะ?” สวีเซียนหลินเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่ากู้หนิงอันไม่ได้มาทานอาหารเหมือนปกติ
“เขาอยู่บ้านและบอกว่าจะกลับมาพรุ่งนี้เช้า!” สวีเฉิงเจ๋ออธิบาย
“ข่าวลือข้างนอกนั่นเป็นอย่างไรกันแน่?” แม้ว่าฮูหยินสวีจะไม่ออกจากบ้าน แต่นางก็ยังได้รับข่าวลือที่ด้านนอกนั้น
เดิมทีนางไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ หากแต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นฮูหยินสวีจึงให้ความสนใจมากขึ้น
“ไม่เป็นไร เถ้าแก่หลี่แห่งร้านจิ่นฝูเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด! เหมียวเอ้อร์ผู้นั้นยักยอกเงินของเถ้าแก่หลี่ เพราะเหมียวเอ้อร์ทำงานในร้านจิ่นฝูมานาน และเขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้ทำให้เหมียวเอ้อร์อยู่ในเมืองหลิวเจียได้ยาก เขาจึงส่งเหมียวเอ้อร์ไปที่หมินซานเพื่อขุดหิน แต่แล้วกลับมีคนใส่ร้ายเสี่ยวหวานว่านางฆ่าเขา จากนั้นเหมียวเอ้อร์ก็ถูกใครสักคนพาตัวกลับมาที่เมืองนี้ ข่าวลือเหล่านั้นไม่จริงและยังต้องไตร่สวนกันต่อไป” สวีเฉิงเจ๋ออธิบายประเด็นสำคัญ
เดิมทีฮูหยินสวีได้ยินว่ามันเป็นเพียงข่าวลือและไม่เกี่ยวอะไรกับกู้เสี่ยวหวาน ก้อนหินหนักอึ้งในใจก็ถูกยกออกไป
“ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว!” ฮูหยินสวีพูดอยู่นานราวกับว่านางกำลังพูดถึงเรื่องของตัวเอง “สาวน้อยเสี่ยวหวานผู้นี้เฉลียวฉลาด ข้าเพียงสงสัยว่านางจะทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร แต่เมื่อมันไม่ใช่ ในที่สุดก็ล้างความคับข้องใจออกไปได้!”
สวีเฉิงเจ๋อยังยิ้มและไม่ได้บอกพ่อกับแม่ของเขาว่ากู้เสี่ยวหวานโดนกล่าวหาว่าโดนวิญญาณสิง ถ้าทั้งสองคนรู้เกรงว่าจะรู้สึกไม่สบายใจ
“เสี่ยวหวานไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่นางทุกข์ทรมานมาก ถ้าพรุ่งนี้เจ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปเยี่ยมเด็กคนนั้นสักหน่อยเถอะ นางช่างน่าสงสารยิ่งนัก!” สวีเซียนหลินเอ่ยปากและพูดอย่างเป็นทุกข์
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น! พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมนาง!” ฮูหยินสวีก็พยักหน้าเช่นกัน
“ท่านแม่ เสี่ยวหวานมาอาศัยอยู่ในเมือง พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนข้าจะไปกับหนิงอัน ไม่เช่นนั้น พวกท่านก็ไปกับพวกเราได้!” สวีเฉิงเจ๋อกล่าว
“พวกเขาย้ายมาอยู่ในเมืองหรือ?” ฮูหยินสวีเอ่ยถามอย่างสงสัย
“บ้านของพวกเขาในหมู่บ้านอู๋ซีถูกไฟไหม้โดยไม่ได้ตั้งใจ และไหม้จนไม่เหลืออะไรเลย!”
“ว่าอย่างไรนะ? เด็กพวกนั้นเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า?” ฮูหยินสวีอุทาน
“ไม่เป็นไร! โชคดีที่ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้อยู่ในบ้าน!”
“ดีแล้ว ๆ เด็กเหล่านี้ช่างโชคดี!” ฮูหยินสวีพูดด้วยความกลัว “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว! ตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหนกัน?”
“อยู่ที่สวนหลี่ ที่นั่นบ้านเก่าของเถ้าแก่หลี่แห่งร้านจิ่นฝู!”
“โอ้…” ฮูหยินสวีพูด และทั้งสามก็ไม่พูดอะไรอีก จดจ่ออยู่กับการทานมื้อเย็น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮูหยินสวีก็พูดบางอย่างที่น่าสนใจขึ้น
“ลูกชายคนเดียวของตระกูลเจียงกลับมาแล้ว!” ฮูหยินสวีถอนหายใจ
“เจียงหย่วน?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ สวีเซียนหลินและสวีเฉิงเจ๋อก็แสดงความรังเกียจบนใบหน้าของพวกเขา
“ไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อเช้าข้าได้ยินเสียงประทัดที่ด้านนอก ปรากฏว่าราชาปีศาจแห่งความโกลาหลกลับมาแล้ว!” สวีเซียนหลินพึมพำเสียงเบาและพูดอย่างไม่พอใจ
หัวหน้าของตระกูลเจียงมีชื่อเสียงที่ดีมากในเมืองหลิวเจีย แต่ชื่อเสียงของลูกชายคนเดียวนั้นยากที่จะชมเชย
แม้ว่าเจียงหย่วนจะอายุเพียงสิบสี่ปี แต่เขาก็เกียจคร้าน ทั้งยังไม่มีความรู้และทักษะใด ๆ ดีแต่ทำเรื่องโง่เขลาไปวัน ๆ
ปรากฏว่าเจียงหย่วนเคยถูกส่งมาศึกษาเล่าเรียนที่หอหนังสืออวี้โดยผู้นำของตระกูลเจียง
แต่เด็กคนนั้นไม่สนใจการเรียน และไม่มีความคิดอยากจะเรียนแม้แต่น้อย หรือเพราะครอบครัวของเขามีเงิน เขาจึงดูถูกบัณฑิตอย่างตระกูลสวี
เนื่องจากเขาดูถูกตระกูลสวี ตระกูลสวีจึงไม่จำเป็นต้องเคารพเขาเช่นกัน
สวีเซียนหลินไปที่บ้านของตระกูลเจียงเป็นการส่วนตัว และส่งเจียงหย่วนกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเดียวทำตัวน่าผิดหวัง ผู้นำตระกูลเจียงก็ไม่สามารถตำหนิตระกูลสวีได้
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้นำของตระกูลเจียงก็รู้สึกเสียหน้าอย่างมาก
ลูกชายของตัวเองถูกไล่ออกจากสำนักศึกษา ถ้าทุกคนรู้ ทุกคนจะพูดถึงตระกูลเจียงของเขาอย่างไร! ตระกูลเจียงเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหลิวเจีย หากใครรู้เข้า ไม่รู้ว่าทุกคนจะเอาไปพูดอย่างไรบ้าง
แม้ว่าตระกูลเจียงและตระกูลสวีจะไม่มีเรื่องบาดหมางกันอย่างร้ายแรง แต่เพราะเด็กเหลือขอนั่นชอบพูดจาดูถูกบัณฑิตต่อหน้าคนอื่น ๆ เสมอ แม้ต่อหน้าทั้งสองตระกูลให้ความเคารพแก่กัน แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่มีมิตรภาพต่อกันเลยแม้แต่น้อย
“นั่นน่ะสิ ข้ารู้ว่าลูกชายคนเดียวของตระกูลเจียงกลับมาจากการไปท่องเที่ยว ถ้าข้าไม่รู้ ข้าคงคิดว่าลูกชายคนเดียวของตระกูลเจียงกลายเป็นบัณฑิตไปแล้ว!” ฮูหยินสวีกล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม
อย่างไรก็ตาม เรื่องของตระกูลเจียงเป็นเรื่องของคนนอก หลังจากที่ฮูหยินสวีพูดเรื่องนี้ พวกเขาทั้งสามก็นิ่งเงียบและจดจ่อกับมื้ออาหารตรงหน้าแทน
หลังจากสวีเฉิงเจ๋อกินเสร็จ เขาก็รีบกลับไปที่ห้องของเขาพร้อมกับหนังสือ เขาไม่ต้องการทำอะไรอีกในคืนนี้ แค่อ่านบันทึกการเดินทางทั้งสามเล่มนี้ก็เพียงพอแล้ว
เขาล้างมือ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดและเช็ดหนังสืออย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าเขากำลังถือของโบราณอันล้ำค่า
หลังจากที่สวีเฉิงเจ๋อเช็ดหนังสือบันทึกการเดินทางทั้งสามเล่มแล้ว เขาก็พลิกดูอย่างละเอียด
พรุ่งนี้เขาจะไปที่สวนหลี่และมอบหนังสือบันทึกการเดินทางทั้งสามเล่มนี้ให้กู้เสี่ยวหวาน แน่นอนว่าเขาต้องอ่านไว้ล่วงหน้า หากกู้เสี่ยวหวานมีคำถามที่ไม่เข้าใจและต้องการถาม เขาจะได้อธิบายให้นางฟังได้
สวีเฉิงเจ๋อไม่เคยเดินทางออกไปข้างนอก ฉากที่บรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่ามีเมฆมากและมีหมอก อย่างไรก็ตามทิวทัศน์ของแม่น้ำและภูเขาที่น่าอัศจรรย์ที่กล่าวถึงในหนังสือทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วน ในชีวิตของเขา ถ้าเขาสามารถออกไปท่องเที่ยวได้ ชีวิตนี้ก็คงไม่เสียเปล่า
หลายปีต่อมา เมื่อสวีเฉิงเจ๋อเดินผ่านภูเขาและแม่น้ำพร้อมกับเสี่ยวลู่จือ เขาคงจะนึกถึงบันทึกการเดินทางที่เขามอบให้กู้เสี่ยวหวาน
สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกปลง
เขาสามารถก้าวไปบนถนนเส้นนี้ ตามรอยกู้เสี่ยวหวานเพื่อสำรวจทิวทัศน์ที่นางเคยเห็นมาก่อน เพื่อให้เข้าใจอารมณ์ของนางในขณะนั้น
หากไม่สามารถจับมือกับนางเพื่อดูทิวทัศน์แม่น้ำและภูเขาที่งดงามแห่งนี้ได้ ก็ให้สัมผัสถึงบรรยากาศที่นางเคยมา ราวกับว่าเคยมีนางมาอยู่เคียงข้าง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คุณชายสวีของเราแสนดีขนาดนี้ เสี่ยวหวานจะมองเห็นความดีของเขาหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)