ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 77 ความริษยาของกุ้ยซื่อ
บทที่ 77 ความริษยาของกุ้ยซื่อ
บทที่ 77 ความริษยาของกุ้ยซื่อ
แม้ว่ากุ้ยชุนเจียวและกุ้ยตงเหมยต่างเป็นเด็กสาวจากชนบท แต่กุ้ยซื่อไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเด็กผู้หญิงในชนบทเลย ลูกสาวทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไร พวกเขาจะหมกตัวในห้องส่วนตัวตลอดทั้งวัน และไม่เคยออกมาข้างนอก
ความหมายของกุ้ยซื่อก็คือเด็กในเมืองเป็นอย่างไรลูกสาวของนางก็ต้องเป็นอย่างนั้น เรื่องในบ้านก็ไม่เคยเข้ามายุ่ง ว่ากันว่าเด็กสาวในเมืองทั้งสิบนิ้วไม่เคยต้องซักผ้าถูบ้านด้วยซ้ำ
ชีวิตของกุ้ยสวิ้นเหอช่างโชคร้าย ที่มีภรรยาและลูกสาวสองคนที่ภรรยาของเขาเลี้ยงดู
ทุกสิ่งในบ้านล้วนต้องใช้เงิน และกุ้ยสวิ้นเหอก็เป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด
ผู้หญิงสามคนในบ้านมีหน้าที่แค่กิน นอน และพูดคุย เรื่องภายในและภายนอกบ้านล้วนพึ่งพากุ้ยสวิ้นเหอ
อันที่จริงกุ้ยสวิ้นเหอเพิ่งกลับจากการทำงานข้างนอก เขาเหนื่อยมาครึ่งวันแล้ว ข้างนอกนั้นอากาศหนาวและหิมะก็กำลังจะตก หลังจากทำงานเสร็จเขาก็รีบกลับบ้านทันที
เขาอยากจะกลับมากินอาหารและดื่มน้ำร้อน ๆ แต่ไม่เคยคิดว่าวันนี้ในบ้านจะหนาวเหน็บ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห และนี่คือสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
“หึ เจ้าทำงานหนักทุกวันเพื่อหาเงินข้างนอก เจ้าไม่คิดว่าข้าทำงานหนักอย่างนั้นหรือ ที่ข้าดูแลอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เพื่อครอบครัวนี้หรือ!” กุ้ยซื่อส่งเสียงคำรามต่ำ เมื่อนางเห็นว่ากุ้ยสวิ้นเหออารมณ์อ่อนลง และก็ยังยกย่องคุณธรรมของตนเอง
เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของภรรยาอ่อนลง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหยุดตรงหน้ากุ้ยซื่อและโค้งคำนับ “ข้าขอโทษ เมียข้า นี่เป็นความผิดของข้าเอง!”
“หึ หากเจ้ากล้าระบายอารมณ์ใส่ข้าในอนาคตอีก ข้าจะพาลูกสาวทั้งสองคนหนีออกจากบ้าน!” กุ้ยซื่อพูดด้วยความโกรธเคือง ครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้นและลูกสาวทั้งสองก็โตแล้ว ถ้ายังไม่มีเงิน ในอนาคตลูกสาวทั้งสองจะแต่งงานกับคนแบบไหน กุ้ยซื่อรู้สึกหวาดกลัว นางไม่ต้องการให้ลูกสาวเดินตามรอยเท้าของนาง
“อย่า อย่า อย่า อย่า ข้าสัญญาว่าในอนาคตมันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ความกดดันของกุ้ยสวิ้นเหอถูกระงับโดยกุ้ยซื่อ และรีบสาบานอย่างรวดเร็ว
หลังจากการต่อสู้กันอย่างดุเดือดของคำพูดและไม้กวาด ในตอนนี้ความขัดแย้งของทั้งสองก็ยุติลงทันทีด้วยคำขอโทษของกุ้ยสวิ้นเหอ
“เหล่ากุ้ย ข้ามีเรื่องบางอย่างจะบอกเจ้า” กุ้ยซื่อเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพบว่าลูก ๆ ของครอบครัวกู้ดูเหมือนจะทำอะไรบางอย่าง”
“เจ้ามีความคิดอะไรในใจ? ” เหล่ากุ้ยขมวดคิ้ว กุ้ยซื่อคนนี้มีความคิดบิดเบี้ยวและพลิกผันมากกว่าใคร
หลังการเสียชีวิตของกู้ฉวนฝูลูกคนที่สองของตระกูลกู้ ครอบครัวกู้ฉวนฝูนี้มีลูกสี่คน คนโตอายุเพียงแปดปี และคนสุดท้องอายุเพียงสี่ปีเท่านั้น ที่พวกเขาไม่อดตาย เป็นเพราะสวรรค์เห็นใจอย่างแท้จริง
ลูกคนโตและลูกคนที่สามของครอบครัวกู้ล้วนเพิกเฉย บางครั้งกุ้ยสวิ้นเหอก็เห็นเด็กสี่คนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งมองหาอาหารข้างนอก มันช่างน่าสงสารจริง ๆ
“เหล่ากุ้ย ลูก ๆ ของตระกูลกู้ออกไปขุดหน่อไม้เมื่อสองสามวันก่อน ในตะกร้านั้นก็เต็มไปด้วยหน่อไม้ ทุกคนล้วนเห็นมัน” กุ้ยซื่อกล่าว “ข้าแค่กำลังคิดว่าเด็กพวกนั้นรู้ได้อย่างไรว่าจะมีหน่อไม้ในเวลานี้ หน่อไม้มีเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่หรือ?”
เมื่อกุ้ยสวิ้นเหอได้ยินสิ่งที่กุ้ยซื่อกล่าว ความสงสัยพลันเกิดขึ้นในใจของเขา
ใช่แล้ว ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเดือนสิบสอง จะมีหน่อไม้ได้อย่างไร?
“เมื่อตอนบ่ายข้าก็ไปที่ภูเขาเพื่อดูว่าพวกเขาขุดอย่างไร แต่พวกเขาซ่อนมันไว้และไม่ยอมให้ข้าเห็นมัน” กุ้ยซื่อนึกถึงเมื่อตอนบ่ายวันนี้ เพื่อดูเสี่ยวฉือโถวตระกูลจางและพี่น้องตระกูลกู้ที่ภูเขา เดิมทีอยากจะแอบดูว่าพวกเขาขุดอย่างไร แต่ทุกคนต่างซ่อนตัวจากนาง นางยังไม่ทันรู้วิธีการใด ๆ ตระกร้าของพวกเขาก็อัดแน่นไปด้วยหน่อไม้เสียแล้ว เมื่อมองดูท้องฟ้าก็พบว่ามันเป็นสีเทาราวกับว่าหิมะกำลังจะตก พวกเขาทั้งหมดจึงรับกลับบ้าน
กุ้ยซื่อไม่ยอมแพ้และตามพวกเขากลับบ้าน เสี่ยวฉือโถวกลับบ้านตนเองไปแล้ว
แต่กุ้ยซื่อยังคงยึดติดครอบครัวกู้และปฏิเสธที่จะกลับไป กู้หนิงอันได้พูดกับกุ้ยซื่ออยู่นานสองนาน เมื่อเห็นว่ากุ้ยซื่อไม่มีท่าทีจะยอมแพ้ เขาจึงปิดประตูและเพิกเฉยต่อกุ้ยซื่อ
กุ้ยซื่อไม่ได้รออยู่นาน สักพักก็พบกับเสี่ยวกู้หวานกลับมา และก็เกิดเรื่องตามมา
“พวกเขาไม่มีพ่อหรือแม่ ดังนั้นมันจึงยากที่จะหาอะไรกิน แม้ว่ารสชาติจะไม่อร่อยก็ปล่อยพวกเขาไป นอกจากนี้เจ้าก็ไม่กินหน่อไม้” กุ้ยสวิ้นเหอพึมพำ ในอดีตเขาเดินตามกระแสและไปที่ภูเขาเพื่อขุดหน่อไม้ แต่หญิงสามคนในครอบครัวไม่ชอบพวกมัน เขาจึงเสียเวลางานช่วงบ่ายไป และหน่อไม้ทั้งหมดก็ถูกโยนทิ้ง
ต่อมาจึงไม่อยากเสียเวลากับหน่อไม้นั้นอีกต่อไป มันใช้เวลานาน ยากลำบาก และมีรสชาติไม่อร่อย
“ที่พวกเราไม่ชอบกินก็อีกเรื่อง แต่ทำไมพวกเขาถึงขุดหน่อไม้จำนวนมาก และพบหน่อไม้ที่เราไม่พบอีก? เจ้าไม่คิดว่าแปลกหรือ?” กุ้ยซื่อยังคงถามต่อไป
“แปลกอะไร! เจ้าอย่าคิดเป็นตุเป็นตะนักเลย มันเป็นเพียงหน่อไม้ที่บังเอิญแตกหน่อแล้วเด็กสองสามคนมาพบเข้า ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังไม่มีอะไรจะกินด้วย ไม่อย่างนั้นจะปล่อยให้อดตายหรือ? ถึงจะไม่อร่อยแต่คนก็ต้องอิ่มท้องใช่หรือไม่?”
“ก่อนที่ข้าจะกลับมา ข้าเห็นเด็กสาวจากตระกูลกู้แบกตะกร้าบนหลังที่มีของเต็มแน่นอยู่สองครั้ง และมีห่อผ้าขนาดใหญ่อยู่ในมือของนาง เจ้าคิดว่ามีอะไรอยู่ในนั้น” หัวใจของกุ้ยซื่อไม่สงบเมื่อคิดถึงของหนักในตะกร้า ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด นางดูเหมือนจะมีอะไรอยู่ในใจ ทำให้ไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขได้
“ใครจะแบกอะไรใส่ตะกร้าที่หลังมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้ากังวลเรื่องอะไรอยู่?” กุ้ยสวิ้นเหอกำลังหิวไส้กิ่ว และเมื่อเห็นว่ากุ้ยซื่อยังว้าวุ่นอยู่ เขาจึงพูดอย่างไม่พอใจ “เอาล่ะ ๆ รีบไปทำอาหารกันเถอะ ถึงข้าจะไม่กิน แต่ลูกสองคนในห้องก็ต้องกินใช่หรือไม่?”
“หึ ๆ รู้แค่จะกินอย่างเดียว!” กุ้ยซื่อพูดอย่างเย็นชา “คนอื่นรวยกันหมด มีแค่พวกเราที่ยังเป็นแบบนี้อยู่” นางนึกสงสัยว่าตระกูลกู้มีโชคบ้างหรือเปล่า เมื่อก่อนที่พวกเขาใส่ชุดขาดรุ่งริ่งก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้กลับนำของห่อใหญ่และห่อเล็กกลับบ้าน นางรู้สึกอึดอัดเมื่อมองดูมัน
หลังใช้จ่ายไปสองครั้ง ก็ได้ของทั้งหมดในครั้งเดียว
กู้เสี่ยวหวานนำของทุกอย่างกลับบ้านและวางถุงผ้าลงบนเตียง
นางเรียกน้องทั้งสามคนมาดู เมื่อพวกเขามา กู้เสี่ยวหวานบอกให้พวกเขาดูห่อผ้าในมือ
ครั้งที่แล้วกู้หนิงผิงเข้าไปในเมืองกับกู้เสี่ยวหวาน เสื้อผ้าก็ถูกตัดเย็บขึ้นด้วยกัน เตรียมใจไว้แล้ว และเขารู้ว่าคราวนี้ที่พี่สาวเข้าเมืองเพื่อรับเสื้อผ้า เขาจึงส่งเสียงดัง “ท่านพี่ เสื้อผ้าทำเสร็จแล้วหรือ? ”
…………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ต่อให้อยากรู้ความลับ เสี่ยวหวานก็ไม่ยอมให้รู้หรอกค่ะ
ไหหม่า(海馬)