ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 817 เกาเยว่เหมย
บทที่ 817 เกาเยว่เหมย
บทที่ 817 เกาเยว่เหมย
“ถุย! ข้าน่ะหรือพูดจาไร้สาระ? ถ้าลูกชายของเจ้ามีหลักฐานจริง ๆ ทำไมไม่ไปรายงานนายท่านเจียงเล่า! เหอะ อย่าพูดอะไรที่มันไม่มีมูลความจริงแล้วถือว่ามีหลักฐานหน่อยเลย เกรงว่าหลักฐานที่พวกเจ้ามีจะไปฟ้องร้องนายท่านเจียงไม่ได้หรอก แม่เฒ่าเฉินเอ๋ย เจ้าคงไม่รู้สินะว่านายท่านเจียงมีญาติห่าง ๆ ที่เป็นขุนนางระดับสูงในเมืองหลวง มีแต่คนอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับตระกูลเจียงในฐานะนายหญิง ฮึ่ม ถ้าอันธพาลอย่างพวกเจ้ายังคิดเล่นตลกกับนายท่านเจียงก็เตรียมโดนเก็บแทนลูกชาย…” ผู้หญิงคนนั้นก่นด่าไม่รู้จบ แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ เสียงของนางก็หายไป
กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเย็นชา “หุบปาก”
ผู้หญิงคนนั้นไม่คาดคิดว่าสาวน้อยจะมีกลิ่นอายที่ดุร้ายแผ่กระจายไปทั่วร่าง จึงหวาดกลัวเล็กน้อยและหยุดพูดทันที
กู้เสี่ยวหวานจ้องมองที่หญิงสาวอย่างดุดัน
ปากของผู้หญิงคนนี้ร้ายจริง ๆ และนางก็พูดแต่คำที่ไร้ซึ่งเหตุผล
แม่เฒ่าเฉินที่อยู่ด้านหน้าอายุมากแล้ว เห็นได้ชัดว่าสุขภาพของนางก็แย่เช่นกัน ถ้าพูดอะไรไม่ดีออกไป เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของนาง
นางน่าสงสารพอแล้ว แต่ยังมีผู้หญิงแบบนี้มาสร้างปัญหาให้นาง น่าเบื่อหน่ายเสียจริง!
กู้เสี่ยวหวานมาหยุดคำพูดไร้สาระของนางได้ทันเวลา และเดินไปปลอบแม่เฒ่าเฉินแล้วพูดว่า “ท่านยาย วางใจเถอะ ลูกชายของท่านจะไม่เป็นอะไร!”
แม้ไม่ได้มีการฆาตกรรมหรือวางเพลิง แต่มีเพียงคำพูดไร้สาระก็โดนจับแล้ว ยังมีสิทธิมนุษยชนอยู่หรือไม่? บ้านเมืองยังมีกฎหมายอยู่หรือเปล่า
ถ้าโทษว่าเขาพูดจาไร้สาระ ก็แค่สอนบทเรียนให้พวกเขา
การจับกุมผู้อื่นด้วยวิธีนี้ เหมือนเป็นการหลอกตัวเองหรือเปล่า ไม่พิสูจน์ข่าวลือที่คนอื่นเขาพูดสักนิดหรือ?
ทันทีที่แม่เฒ่าเฉินได้ยินว่ามีคนเชื่อลูกชายของนาง นางก็จับมือกู้เสี่ยวหวานทันทีแล้วพูดอย่างขมขื่นว่า “สาวน้อย ลูกชายของข้าถูกใส่ความ เขาถูกใส่ความจริง ๆ นะ! เขาไม่มีเจตนา เขาแค่พลั้งปากไป อย่าขังเขานานนะ! ไม่รู้ว่าลูกชายผู้น่าสงสารของข้าอยู่ในคุกเป็นอย่างไรบ้าง”
“ลูกชายของท่านถูกขังไว้นานแค่ไหนแล้ว?” กู้เสี่ยวหวานถามอย่างเร่งรีบเมื่อได้ยินว่าเขาถูกจำคุกเป็นเวลานาน
“ถูกขังไว้ตั้งแต่ปีก่อน โดยบอกว่าไป๋เอ๋อร์ของข้าพูดให้ร้ายนายท่านเจียงว่าเขาลักลอบขายเกลือ ลูกชายของข้าไม่ใช่คนแบบนั้น เขาจะพูดจาไร้สาระได้อย่างไร!” สายตาของแม่เฒ่าเฉินมองเห็นได้ไม่ชัด นางแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ากู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ นั้นสวมเสื้อผ้าดีมากแค่ไหน และพวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่นางเนื้อตัวสกปรกและมีกลิ่นเหม็นสาบ ทั้งยังนั่งลงที่ข้างเตียงแล้วจับมือของนางโดยไม่ได้รังเกียจหญิงชราเลยสักนิด
ทันใดนั้น หญิงชราราวกับว่าพบแสงสว่าง นางจับมือของกู้เสี่ยวหวานและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “สาวน้อย ได้โปรดช่วยไป๋เอ๋อร์ของข้าด้วย ไป๋เอ๋อร์ของข้าเป็นเด็กดี เขาชอบอ่านหนังสือ แต่เป็นเพราะว่าแม่อย่างข้าป่วย ครอบครัวเลยพังกันหมด เขาไม่มีเงินมากพอที่จะไปเรียนที่สำนักศึกษา ทั้งยังต้องเจียดเงินอันน้อยนิดที่เขามีมาซื้อยาให้ข้า เขาทำงานสารพัด พอมีเวลาว่างก็ทำได้แค่นำหนังสือมาอ่านและฝึกเขียนหนังสือ”
หลังจากพูดจบ นางก็ชี้ไปที่หญิงสาวคนนั้นอย่างขมขื่นและพูดด้วยความโศกเศร้า “เป็นนาง นางผู้นั้นเอาพู่กัน หินฝนหมึก และกระดาษของไป๋เอ๋อร์ไป นั่นคือทั้งชีวิตของไป๋เอ๋อร์เลยนะ…”
ก่อนที่แม่เฒ่าเฉินจะพูดจบ นางก็ลุกไปคว้าตัวหญิงสาวอีกครั้ง
ทันทีที่ลุกขึ้นก็เหมือนจะวิงเวียนตาลาย ได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ในหัว จากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับร้องไห้อย่างโศกเศร้า
“ไป๋เอ๋อร์ของข้า… ไป๋เอ๋อร์” แม่เฒ่าเฉินรู้สึกว้าวุ่นใจ บางทีนางอาจจะใช้เวลาทุกวันไปกับการร้องไห้เสียน้ำตา ดวงตาของนางที่ปกติก็มองเห็นได้อย่างพร่ามัว บัดนี้กลับมองไม่เห็นอะไรเลย
เมื่อเห็นนางล้มลง กู้เสี่ยวหวานรีบเข้าไปพยุงนาง “ท่านยาย ช้าลงหน่อย”
แม่เฒ่าเฉินจับมือกู้เสี่ยวหวานและร้องไห้อย่างช่วยไม่ได้ “สาวน้อย ลูกชายของข้าถูกใส่ความ เขาถูกใส่ความ!”
หญิงสาวคนนั้นพึมพำอย่างเย็นชาเมื่อเห็นว่าทุกคนไม่ได้สนใจนาง และดูเหมือนว่านางจะถอยห่างออกไป
เมื่อฉินเย่จือเห็นเช่นนั้น เขาก็ขยิบตาให้อาโม่ และอาโม่ก็ไปดักผู้หญิงคนนั้นที่หน้าประตู
เมื่อเห็นว่าอาโม่ไม่ยอมปล่อยตนไป ผู้หญิงคนนั้นก็กังวลและสาปแช่ง “นี่ เจ้าคิดจะทำอะไร เจ้าคิดจะทำอะไร! ทำไมเจ้าถึงไม่ปล่อยให้ข้าไป ทำไมเจ้าไม่ให้ข้า… บ้านเมืองไม่มีกฎหมายแล้วหรือ…”
เอะอะก็อ้างกฎหมายบ้านเมือง ราวกับว่ากฎหมายของบ้านเมืองถูกกำหนดขึ้นโดยครอบครัวของนาง หญิงคนนั้นกระวนกระวาย จมูกของนางขยับเข้าออก นางต้องการจะผลักอาโม่ออก อาโม่เห็นว่านางตรงเข้ามาก็เบี่ยงตัวหลับแต่เหยียดขาไปด้านหน้า ทำให้นางสะดุดและล้มลงกับพื้น
หินฝนหมึกกระเด็นออกจากร่างกายของนาง และตกลงมาไม่ไกล
ทันทีที่แม่เฒ่าเฉินได้ยินเสียงหินฝนหมึกตกลงที่พื้น นางก็ดีใจทันที จากนั้นก็ก้มตัวลงไปที่พื้นตามทิศทางเสียงของหินหมึกที่ตกกระทบพื้น นางเอื้อมมือที่สั่นเทาแตะพื้นควานหาสิ่งของที่ต้องการ
สิ่งนั้นคือชีวิตของไป๋อ๋อร์ เมื่อเขามีเวลา เขามักจะชอบเขียนและอ่านหนังสือ
ทันใดนั้น เสียงคมชัดที่ดังมาจากด้านนอกก็ร้องออกมาอย่างเป็นทุกข์ “ท่านแม่เฉิน ท่านเป็นอะไรไป?”
หลังจากนั้นก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วไปหาแม่เฒ่าเฉิน แล้วพยุงแม่เฒ่าเฉินให้ลุกขึ้น
เมื่อแม่เฒ่าเฉินเห็นว่าเป็นเกาเยว่เหมย ก็พูดอย่างดีใจว่า “เยว่เหมย เจ้ามาแล้วหรือ? เร็วเข้า มาช่วยข้าหาหินฝนหมึกหน่อย!”
หินฝนหมึกอยู่ไม่ไกลจากแม่เฒ่าเฉิน บังเอิญตกไปในเงามืดที่มุมห้อง ต้องเดินไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อหยิบมัน แต่เพราะดวงตาที่ผ่านการร้องไห้ นางจึงมองไม่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเงามืด นางจะมองสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน ดูไม่ออกและสัมผัสมันไม่ถึง
เกาเยว่เหมยหยิบหินฝนหมึกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็มอบให้แม่เฒ่าเฉินแล้วพูดด้วยความโล่งอกว่า “ท่านแม่เฉิน มันอยู่ตรงนี้ มันไม่ได้แตกหักหรือเสียหายแต่อย่างใด”
กาเยว่เหมยบอกแม่เฒ่าเฉินว่าหินฝนหมึกไม่ได้แตกหัก แต่ดูเหมือนว่าแม่เฒ่าเฉินจะไม่เชื่อ ดังนั้นนางจึงลูบซ้ายลูบขวากระทั่งนางพบว่าหินหมึกนั้นไม่ได้รับความเสียหาย นางจึงรู้สึกโล่งอกและพูดอย่างตื่นเต้น “มันไม่แตก มันไม่แตกจริง ๆ ด้วย เยว่เหมย นี่คือชีวิตของไป๋เอ๋อร์ จะปล่อยให้มันร่วงหล่นไม่ได้…”