ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 9 แป้งกวนชามหนึ่ง
บทที่ 9 แป้งกวนชามหนึ่ง
บทที่ 9 แป้งกวนชามหนึ่ง
กู้เสี่ยวหวานสามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจนผ่านกระจกทองแดงขนาดเท่าฝ่ามือของตน
แม้จะพูดไม่ได้ว่างามล่มบ้านล่มเมืองดั่งจันทร์หลบโฉมสุดามวลผกาละอายนางขนาดนั้น แต่ก็ยังเรียกได้ว่ามีความสง่างามอยู่ในตัว
แค่ตัวเล็กและผอมแห้งเกินไปนิดหน่อยเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่ค่อยได้กินอาหารเต็มอิ่มจึงได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และมีคราบอาหารอยู่บนใบหน้าเสมอ ถ้าได้กินดีขึ้นก็น่าจะหายดี นางมีอายุแค่แปดขวบเท่านั้นเอง
ทุกอย่างยังแก้ไขทัน กู้เสี่ยวหวานค่อนข้างพอใจกับใบหน้าของนางไม่น้อย ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของเจ้าของร่างเดิมจะหน้าตาดีมาก
ในเรื่องการดูแลพ่อแม่ สองปีที่แล้วครอบครัวไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยจริง ๆ มีคนหกคน ปากหกปากต่างเฝ้ารอกิน สามีภรรยาหาอะไรกินไม่ได้ก็ยังทนไหวเมื่อพวกเขาหิว แต่เด็ก ๆ จะรู้เดียงสาได้อย่างไร? คนหนึ่งอายุสองขวบ คนหนึ่งอายุสี่ขวบ อีกคนอายุหกขวบ พวกเด็กโต ๆ ยังดีอยู่บ้าง แต่กู้เสี่ยวอี้ที่อายุน้อยที่สุดนั้นร้องไห้ด้วยความหิวทุกวัน และในบ้านก็มีเพียงของไม่กี่อย่างเท่านั้นที่กินได้ ทุกคนจึงเก็บส่วนของตัวเองไว้ให้กู้เสี่ยวอี้ได้กิน
โดยไม่มีทางเลือกอื่น สองสามีภรรยาทำได้เพียงลงบึงเพื่อจับปลาตอนกลางคืนเท่านั้น
ตอนจับปลา ท่านแม่กู้ไม่ได้ลงเท้าอย่างมั่นคงและลื่นไถลลงไปในบึง ท่านพ่อกู้พยายามจะดึงท่านแม่กู้ขึ้นมา แต่นางกลับไม่อยู่นิ่ง ทั้งสองไม่คุ้นเคยกับบึงแห่งนี้และน้ำก็ลึกมาก จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่เคยโผล่ขึ้นมาอีกเลย
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจยาวอยู่ในใจ รู้สึกเศร้าอยู่พักหนึ่ง ทำไมเด็กพวกนี้ช่างน่าสังเวชนัก!
“ท่านพี่ พักผ่อนเถอะ เสี่ยวอี้จะทำให้ท่านอบอุ่นนะเจ้าคะ” เสียงของกู้เสี่ยวอี้นุ่มนวลและแผ่วเบา ฟังแล้วสบายใจยิ่ง
นางต้องเป็นพ่อและแม่อย่างนั้นหรือ?
กู้เสี่ยวหวานลอบถอนหายใจ แม้นางจะยังเด็ก แต่นางจะเลี้ยงดูครอบครัวของนางให้ได้
เฮ้อ…กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ครู่หนึ่งและให้กำลังใจตัวเองอีกครั้ง ในชีวิตก่อนหน้านี้ นางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยการเกษตร ดังนั้นการทำฟาร์มในชนบทจึงไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง เมื่อมองไปที่เด็กน้อยทั้งสาม อย่างแรกเลยคือนางต้องฟื้นตัวให้เร็วและดูแลพวกเขาให้ดี
“โครกกก…”
ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานคิดเรื่องนี้เสร็จ ท้องของนางก็ส่งเสียงไม่น่าพิศมัยออกมา
เหมือนนางอยู่แบบนี้มานาน และยังไม่ได้กินอะไรเลย
แต่ตอนนี้ร่างกายของนางอ่อนแอและไร้กำลังอย่างสมบูรณ์!
นางได้แต่มองดูเด็กทั้งสามอย่างเขินอาย “ข้าหิวนิดหน่อยน่ะ พวกเจ้ากินข้าวแล้วหรือยัง?”
เมื่อเด็กสามคนยังได้ยินท้องของกู้เสี่ยวหวานร้อง พวกเขาก็รู้ทันทีว่าพี่สาวของตนหิวแล้ว
กู้หนิงอันพูดด้วยความเจ็บปวด “ท่านพี่ นอนลงก่อนนะ ในบ้านยังมีแป้งอยู่ ข้าจะทำอาหารให้ท่านเอง”
กู้เสี่ยวหวานทนดูเด็กหกขวบทำอาหารไม่ได้ และนางไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กหกขวบจะทำอาหารได้ เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานตกตะลึงเล็กน้อย กู้หนิงอันก็กล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ท่านพี่ วันนี้ท่านไม่สบาย และข้าก็ได้เรียนรู้เหมือนสิ่งที่พี่ทำแล้ว”
กู้หนิงผิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อื้ม ข้าจะช่วยพี่ชายจุดไฟ ส่วนท่านพักผ่อนไปนะขอรับ”
กู้เสี่ยวอี้ยังเด็กเกินไปที่จะรู้อะไร แต่นางก็ต้องการทำอะไรบางอย่างเช่นกัน ดังนั้นจึงกระพริบตาและพูดว่า “ท่านพี่ นอนลงเถิดเจ้าค่ะ เสี่ยวอี้จะช่วยให้ท่านอบอุ่นเอง”
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกขบขันกับรูปลักษณ์ที่น่ารักของน้องเล็ก แต่นางยังคงเวียนหัวอยู่จึงนั่งพักสักครู่ นางยังรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและเซื่องซึมเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ตกลง เสี่ยวอี้ นอนกันเถอะ”
กู้เสี่ยวหวานนอนลง แต่ก็พลันรู้สึกว่าไม่เวียนหัวแล้ว นอกจากความทรงจำดั้งเดิมของกู้เสี่ยวหวาน นางก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย เมื่อมองไปที่กู้เสี่ยวอี้หัวไชเท้าน้อยที่อยู่ข้าง ๆ นางก็คาดว่าเด็กน้อยคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเลย
นางทำได้แค่ถอนหายใจ กะว่าจะหาเวลาไปถามคนอื่นทีหลัง
ตอนนี้นางง่วงมาก จึงหลับไปอีกครั้ง
เมื่อนางตื่นขึ้น ในบ้านก็มีแสงตะเกียงน้ำมันทอสลัวราง ๆ กู้เสี่ยวหวานถูกปลุกด้วยเสียงประท้วงและความรู้สึกแสบร้อนจากกระเพาะของตน มันรู้สึกทรมานมากจริง ๆ
ทันทีที่นางตื่นขึ้น นางเห็นกู้หนิงผิงที่กำลังหลับใหลอยู่ข้าง ๆ นางก็ตื่นขึ้นเช่นกัน เมื่อเขาเห็นพี่สาวตื่น เขาก็กระโดดลงจากเตียงและพูดว่า “ท่านพี่ รอก่อนนะขอรับ ข้าจะนำแป้งกวนมาให้”
พอพูดจบกู้หนิงผิงก็วิ่งไปที่โต๊ะ กู้เสี่ยวหวานเห็นชามขนาดเล็กสองใบวางอยู่ในชามใบใหญ่ซึ่งปิดด้วยไม้กระดาน เดาว่าในนั้นคงมีน้ำร้อนอยู่ หากน้ำเย็นลงก็ต้องเปลี่ยนเป็นน้ำร้อนโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเกรงว่าอาหารข้างในจะเย็นเสียก่อน กู้เสี่ยวหวานรู้สึกลำบากใจอยู่บ้างแต่ก็โล่งใจไม่น้อย แม้ครอบครัวนี้จะอยู่ในสภาพแร้นแค้น แต่เด็ก ๆ เหล่านี้ก็มีเหตุผล เชื่อฟัง และดูมีความสุข
แน่นอนว่ากู้หนิงผิงถือชามมาอย่างระมัดระวัง และกู้เสี่ยวหวานก็รับไปโดยที่มันยังอุ่นอยู่
กู้หนิงผิงยิ้มอย่างประจบประแจง “ท่านพี่ ตอนที่เราทำอาหาร ท่านกำลังนอนหลับสบายทีเดียว พี่ชายบอกว่าอย่ารบกวนท่าน ปล่อยให้ท่านพักผ่อนไป เรากลัวว่ามันจะเย็นเลยวางไว้ในน้ำร้อน ตอนนี้ข้าเปลี่ยนน้ำร้อนใหม่อีกรอบแล้ว ดูสิ ตอนนี้ยังร้อนอยู่เลย”
หลังจากพูดจบ เขาก็เผยรอยยิ้มระบายทั่วใบหน้า ราวกับลูกสุนัขที่รอให้เจ้านายชม
กู้เสี่ยวหวานลูบหัวกู้หนิงผิงอย่างซาบซึ้ง และเอ่ยชมอย่างอ่อนโยนว่า “หนิงผิงฉลาดมาก”
เมื่อได้รับการชื่นชมจากพี่สาว กู้หนิงผิงก็มีความสุขมากและแย้มยิ้มยิ่งขึ้นไปอีก
ในเวลานี้ กู้หนิงอันได้วางหนังสือขาด ๆ ในมือลง ซึ่งเขาพลิกไปมาเป็นเวลานานแล้ว จากนั้นจึงเดินไปเรียกน้องสาวและหย่อนก้นนั่งบนเตียงเตา
กู้เสี่ยวหวานมองชามในมือ หลีกเลี่ยงรอยบิ่นตรงปากชาม และกำลังจะกิน
กู้เสี่ยวอี้กลับตื่นขึ้นมาเรียกพี่สาวของนางด้วยท่าทางงัวเงีย จากนั้นท้องของเด็กน้อยก็ส่งเสียงร้องอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
กู้เสี่ยวหวานเห็นน้องสาวของตนกำลังกลืนน้ำลาย จึงไม่อยากกินคนเดียว ดังนั้นนางจึงยื่นชามให้กู้เสี่ยวอี้ “เสี่ยวอี้ เจ้ากินก่อนสิ”
กู้เสี่ยวอี้รีบดันชามออกไปทันที และพูดว่า “ท่านพี่กินเถอะ ข้าไม่หิว!”
เห็นได้ชัดว่านางหิว เพราะเสียงร้องจากกระเพาะอันว่างเปล่ากำลังดังประท้วง แต่นางกลับบอกว่าไม่หิว เห็นได้ชัดว่านางกำลังโกหก
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าทำไมกู้เสี่ยวอี้ถึงพูดแบบนั้น นางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ใช้ช้อนไม้ตักแป้งกวนขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วส่งไปที่ปากของกู้เสี่ยวอี้ “เด็กดี อ้าปากเร็ว ข้าป้อนนะ”
กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงไม่ได้พูดอะไร ทั้งคู่ส่ายหัวพลางมองไปที่กู้เสี่ยวอี้ ในขณะที่กู้เสี่ยวหวานมองไม่เห็น
กู้เสี่ยวอี้เข้าใจและรีบถอยหนีเล็กน้อย เด็กน้อยเอามือปิดปากของตนแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ท่านพี่ ท่านกินก่อนเถอะ ข้ายังอิ่มอยู่”
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ฟื้นตัวเร็ว ๆ นะเสี่ยวหวาน อยากรอดต้องสู้ชีวิตนะคะ
ไหหม่า(海馬)