ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 911 แจกโจ๊กให้ผู้ประสบภัย
บทที่ 911 แจกโจ๊กให้ผู้ประสบภัย
บทที่ 911 แจกโจ๊กให้ผู้ประสบภัย
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “เป็นเพราะพวกเรามีอาหารที่นี่ ดังนั้นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของภัยพิบัติจึงมาหาพวกเราอย่างต่อเนื่อง พวกเราไม่สามารถเร่งรีบและเราไม่สามารถขับไล่หรือผลักไสพวกเขาไปได้ ใต้เท้าหลิวไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ แต่เป็นผู้ปกครองของผู้คนในเมือง เมื่อผู้ลี้ภัยเหล่านั้นมาถึงเมืองรุ่ยเสียน ใต้เท้าหลิวเองก็จำเป็นต้องคอยดูแลพวกเขาด้วย หากท่านไม่สนใจ เช่นนั้นคนทั้งเมืองรุ่ยเสียนก็จะตกเป็นเหยื่อของภัยพิบัติ เมื่อมีทั้งเมืองรุ่ยเสียนและเมืองอื่น ๆ สถานการณ์ความอดอยากก็จะใหญ่ขึ้น และถ้าเรื่องนี้ถึงหูฮ่องเต้เข้า ข้าเกรงว่าจะ…”
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย หลังจากที่นางกล่าวถึงตรงนี้ นางก็หยุดพูดแล้วมองไปที่ใต้เท้าหลิวอย่างจริงจัง โดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก
ถึงนางไม่พูด ใต้เท้าหลิวก็รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะกล่าวอะไรต่อไป
เขาพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น “ถ้าเป็นตามที่เจ้าพูด แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด?”
“จำเป็นต้องปกป้องผู้คนในเมืองรุ่ยเสียนของเรา แต่ก็ต้องตั้งถิ่นฐานให้กับผู้ประสบภัยพิบัติจากที่อื่นด้วย” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะไม่มีความวุ่นวายและไม่มีใครอดตาย”
“แต่ตอนนี้ในเมืองรุ่ยเสียนเองก็ประสบภัยแล้งรุนแรงเช่นกัน และมีผู้ประสบภัยจำนวนมากมาที่นี่ พวกเราไม่รู้ว่าปีนี้จะปลูกมันเทศได้เท่าไร พวกเราไม่สามารถแม้แต่จะรักษาคนของเราไว้ได้ พวกเราจะช่วยเหลือผู้คนจากเมื่องอื่นได้หรือ?” ผู้ช่วยฝานได้ยินก็เอ่ยถาม ถ้าเก็บทั้งสองฝ่ายสามารถไว้ได้จะเป็นการดีที่สุด แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ นับประสาอะไรกับรักษาทั้งสองฝ่ายไว้ แค่รักษาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไว้ก็ยากเย็นยิ่งแล้ว
“มีความแห้งแล้งอย่างรุนแรงทางตอนใต้ และราชสำนักจะส่งเงินมาช่วยเหลืออย่างแน่นอน สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือ ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันมั่นคงและพยายามรักษาผู้ประสบภัยพิบัติไว้ หากไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในเมืองรุ่ยเสียน เมื่อจากราชสำนักเงินลงมาถึงเมื่องรุ่ยเสียน พวกเราก็จะทำสำเร็จ” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างหนักแน่น
อาโม่ที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
หลังจากที่หลิวจือเสี้ยนได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ถามอย่างตื่นเต้นว่า “แล้วเราควรทำอย่างไรดี?”
“ตั้งโรงทานให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ”
ตราบใดที่ผู้ประสบภัยเหล่านั้นมีอาหารกินและไม่หิวโหย ทุกอย่างจะง่ายขึ้น เมื่อปีแห่งภัยพิบัติสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะกลับไปเอง
กู้เสี่ยวหวานพูดคุยกับหลิวจือเสี้ยนว่ายังมีอาหารอีกมากในเมืองรุ่ยเสียน แต่ไม่เพียงพอที่ให้ผู้ประสบภัยจำนวนมากกินทุกวันได้
“เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเราจะออกไปซื้ออาหารข้างนอกแล้วเอามาให้” ผู้ช่วยฝานถาม
กู้เสี่ยวหวานส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ไม่น่าเป็นไปได้ ตอนนี้มีผู้ประสบภัยอยู่ทุกที่ ข้าเกรงว่าถ้าเราซื้ออาหารมา และในระหว่างทางกลับมาที่นี่ พวกเราจะถูกผู้ประสบภัยพิบัติเหล่านั้นขัดขวางเพื่อขออาหารจากเราเสียก่อน”
“ใต้เท้าหลิว ข้ายังต้องการให้ท่านทำสิ่งนี้ ท่านต้องระดมตระกูลที่ร่ำรวยและขุนนางในเมืองรุ่ยเสียนให้ทำการบริจาคเล็กน้อย ข้าจะตัดสินใจในนามร้านจิ่นฝูเพื่อบริจาคเงินห้าร้อยตำลึง”
กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเคร่งขรึม โนเวล-พีดีเอฟ
หลิวจือเสี้ยนเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ทั้งเมื่อเห็นว่านางยังเด็กแต่นางกลับมีความรู้สึกเช่นนั้น ในใจเขาจึงยกย่องกู้เสี่ยวหวานยิ่งนัก
“แม่นางกู้ ในนามของชาวเมืองรุ่ยเสียนและผู้ประสบภัย ข้าขอบใจเจ้ามากสำหรับความเมตตาและคุณธรรมของเจ้า เจ้าเป็นคนมีเมตตาและชอบธรรมยิ่ง ข้าจะออกไปหาคนร่ำรวยเหล่านั้นเพื่อขอรับบริจาคเงินและอาหาร มันยังไม่สายนักที่แก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด” กล่าวจบ เขาก็หันไปสั่งผู้ช่วยฝาน “เจ้าช่วยหาคนไปสร้างโรงทานทางตะวันออกและทางตะวันตกของเมือง”
ครั้นผู้ช่วยฝานได้รับคำสั่งแล้ว เขาจึงตอบรับและไปลงมือทำทันที
หลิวจือเสี้ยนมีชื่อเสียงที่ดีในเมืองรุ่ยเสียน เมื่อเขามาถึงบ้านของตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงในเมืองรุ่ยเสียน เขาได้ระดมเงินและอาหารจำนวนมาก แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่เต็มใจบริจาค
คนที่อยู่ข้างหลังเห็นว่าบางคนที่อยู่ข้างหน้าไม่บริจาค คนที่อยู่ข้างหลังก็ไม่บริจาคเช่นกัน หลังจากวิ่งมาหลายวันก็มีธัญพืชเพียงไม่กี่พันเมล็ดและเงินไม่กี่ร้อยตำลึงเข้ามา
ทางตะวันออกและตะวันตกของเมืองก็ได้ตั้งโรงทานสำหรับผู้ประสบภัยขึ้นมา
ผู้ช่วยฝานมีความน่าเชื่อถืออย่างมากในการทำงาน โดยเขาใช้เงินจ้างผู้หญิงแข็งแรงหลายคนมาปรุงโจ๊กที่โรงทาน และให้ผู้ชายแข็งแรงสองสามคนมาช่วยกันตักโจ๊กเพื่อแจกให้ผู้ประสบภัย โดยมีเจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการคอยยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
เมื่อกู้เสี่ยวหวานมาถึงทางตะวันออกของเมือง นางมองไปยังผู้เคราะห์ร้ายที่ต่อแถวยาวเหยียด กู้เสี่ยวหวานก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความนับถือผู้ช่วยฝาน
ผู้ประสบภัยเหล่านั้นถือชามอยู่ในมือ เรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ คอยยืดคอมองเข้าไปในโรงทาน
คนที่เข้าแถวส่วนใหญ่เป็นคนแก่และผู้หญิง โดยผู้หญิงบางคนกำลังอุ้มลูก ๆ ไว้ ทุกคนดูเซื่องซึม ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาทนหิวมานานเท่าไรแล้ว
ผู้คนบางส่วนกลัวว่าพวกเขาจะไม่ได้รับแจกโจ๊ก ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนใจและต้องการที่จะแทรกแถว ซึ่งบางคนถึงกับรีบไปที่หน้าโรงทาน โดยต้องการที่จะคว้ามัน
เพียงแต่ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มผู้ประสบภัยที่หิวโหยมากและร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง
ผู้ช่วยฝานคาดเดาถึงสถานการณ์เช่นนี้ไว้ก่อนแล้ว จึงเดินนำชายร่างสูงและแข็งแรงสองสามคนมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยกับเจ้าหน้าที่ทางการ เมื่อเห็นว่ามีผู้ประสบภัยหลายคนไม่เข้าใจกฎ คนเหล่านั้นก็ก้าวไปด้านหลังและพูดอย่างดุร้าย “ข้าแถวซะ ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง”
เมื่อเห็นว่าคนที่รักษาความสงบเรียบร้อยนั้นร้ายกาจเพียงใด และได้ยินว่าพวกเขาทั้งหมดมีส่วนแบ่ง ทุกคนจึงดีใจมากและรีบไปที่ด้านหลังเพื่อเข้าแถว
จากบทเรียนดังกล่าว ทำให้ผู้ที่ไม่ต้องการต่อแถวไม่กล้าทำอะไร พวกเขาทั้งหมดต่างเข้าแถวกันอย่างเรียบร้อย
ผู้ช่วยฝานเฝ้าดูอยู่ในโรงทานเช่นกัน ซึ่งเมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวานกำลังมา เขาก็รีบเดินไปข้างหน้า
“แม่นางกู้ สองวันนี้พวกเรานับดูแล้ว ตอนนี้ในเมืองรุ่ยเสียนมีผู้ประสบภัยมากกว่าห้าร้อยคน หากอาหารที่บริจาคให้ยังมีจำนวนเท่าอย่างที่เป็นอยู่ในยามนี้ อาจทนได้ไม่ถึงสามวัน” ผู้ช่วยฝานย่นคิ้วพลางกล่าว
กู้เสี่ยวหวานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน นางมองดูกลุ่มผู้ประสบภัยที่เข้าแถวกันยาวเหยียด พวกเขาทั้งหมดออกจากบ้านเกิดมาเพราะต้องการหาทางเอาชีวิตรอด
ถ้าบ้านยังอยู่ได้ ใครจะทิ้งบ้านเกิดไปเร่ร่อนนอกบ้าน?
“ข้าจะคิดหาวิธีที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ให้ได้ก่อน เพื่อให้คนเหล่านี้ได้อิ่มท้อง”
เมื่อกลับมาที่ศาลาว่าการ ทันทีที่เท้าหน้าก้าวเข้ามาก็เห็นหลิวจือเสี้ยนเดินเข้ามาด้วยท่าทางเศร้าสร้อย
ดูจากความโกรธบนใบหน้าของเขา สภาพแบบนี้ ดูท่าจะล้มเหลว
หลิวจือเสี้ยนกล่าวว่า “วันนี้ข้าไปบ้านสองสามหลัง แต่ข้าไม่สามารถขอบริจาคธัญพืชหรือเหรียญทองแดงได้เลย”
เจ้าหน้าที่สองสามคนที่ติดตามหลิวจือเสี้ยนก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
“ใต้เท้า ท่านทำงานหนักมากเกินไปแล้ว เชิญไปดื่มชาสักถ้วยเถอะ” เมื่อเห็นท่าทีที่เหนื่อยล้าของหลิวจือเสี้ยน กู้เสี่ยวหวานจึงรีบเข้าไปรินชาให้เขาหนึ่งถ้วย
หลังจากดื่มชา เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหลิวจือเสี้ยนดูดีขึ้น กู้เสี่ยวหวานจึงถามว่า “ใต้เท้าหลิว เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
——————————————-