ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 919 ต้องไปเมืองหลวงแน่นอน
บทที่ 919 ต้องไปเมืองหลวงแน่นอน
บทที่ 919 ต้องไปเมืองหลวงแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการให้คนอื่นเรียนรู้ทักษะของนาง และนางไม่ต้องการทำงานภายใต้คำสั่งของผู้อื่น
เช่นเดียวกับคนงานในชีวิตที่แล้ว มีทั้งคนงานธรรมดาและคนงานมีฝีมือ
คนงานทั่วไปและคนงานมีฝีมือมีแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนงานที่มีทักษะ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นช่างฝีมือตลอดชีวิต อีกหน่อยก็จะได้เป็นผู้จัดการ ขอแค่มีลู่ทาง และจะไม่มีวันเป็นแค่คนงานธรรมดาไปตลอดชีวิต
แต่ถ้านางเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวเทียนฉือ ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
ประการที่หนึ่งคือ หลังจากถูกบีบจนแห้งและถูกหลิวเทียนฉือไล่ออก ไม่ต้องพูดถึงสี่ส่วน เกรงว่าจะไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวด้วยซ้ำไป
ประการที่สองคือ การอยู่ในเมืองหลวงในฐานะช่างตัดเย็บตลอดชีวิตก็เหมือนเป็นหินให้หลิวเทียนฉือเหยียบย่ำ
เมื่อหลิวเทียนฉือกลับมา ก็ต้องเตือนกู้เสี่ยวหวาน
นางไม่รู้ว่าตุ๊กตาจะขายดีในเมืองหลวง ในใจนางก็มีความคิดอื่นอยู่
“เสี่ยวหวาน เสี่ยวหวาน พูดอะไรหน่อยสิ ข้ารู้สึกใจไม่ดีเลย” ครั้นเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเงียบไป ป้าจางก็เป็นกังวลเล็กน้อย ท่าทางก้าวร้าวของหลิวเทียนฉือในตอนนี้น่ากลัวเกินไปจริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเอ่ยถึงฮ่องเต้ออกมา
ฮ่องเต้ แค่ท่องสองคำนี้ก็ทำให้ข้าช่างพูดได้แล้ว ข้าเกรงว่าข้าจะออกเสียงได้ไม่ดี
นับประสาอะไรกับการเข้าเฝ้าฮ่องเต้
หลิวเทียนฉือผู้นี้เดาว่าพวกนางเป็นเพียงกลุ่มคนธรรมดาในชนบท ต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อกดดันพวกเขาหรือไม่?
ป้าจางรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก แต่นางไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่มองดูกู้เสี่ยวหวานอย่างใจจดใจจ่อ
ดังนั้นทุกคนในห้องจึงมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างกระตือรือร้น ยกเว้นอาโม่ที่เอาแต่ก้มศีรษะอย่างครุ่นคิด หวังว่ากู้เสี่ยวหวานจะพูดอะไรสักคำ
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานกำลังคิดอยู่ในใจของนางไม่ได้เกี่ยวกับหลิวเทียนฉือเลย แต่เกี่ยวกับการเย็บปักถักร้อย
ตอนนี้พวกเขามีเงินอยู่ในมือแล้ว ทำไมพวกเขาจะเปิดร้านที่เชี่ยวชาญด้านงานปักผ้าด้วยตัวเองไม่ได้ล่ะ?
ตอนนี้กู้เสี่ยวอี้ยังเด็กอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเสื้อผ้า ให้ขายผ้าและตุ๊กตาเล็ก ๆ ในร้านน่าจะดีกว่า
หากต้องการเปิดร้านในเมืองหลวงจริง ๆ ทำของเสร็จจากที่นี่ก็ส่งตรงไปยังเมืองหลวงเพื่อขาย ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถทำเงิน และยังสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงได้
เมื่อถึงเวลาไปเมืองหลวง พวกเขาจะไม่พบเจอทางตันอย่างแน่นอน
บังเอิญว่าตอนนี้หลี่ฝานกำลังทำงานในร้านฝูจิ่นในเมืองหลวง ให้เขาคอยดูให้ดีว่ามีร้านไหนว่างขายบ้าง
ร้านนี้ไม่ต้องใหญ่มาก แค่ต้องตกแต่งให้ประณีตขึ้นอีกหน่อยเหมือนร้านบูติกในปัจจุบัน มีหุ่น ผ้าและอื่น ๆ อยู่ในนั้น เมื่อถึงเวลาถ้ามีคนต้องการซื้อก็สามารถเข้าไปเลือกซื้อได้เลย
หากลูกค้ามีความต้องการเพิ่มเติมก็สั่งทำ
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่สามารถวางรากฐานที่ดีในเมืองหลวงล่วงหน้า แต่ยังมีรายได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
เมื่อสิ่งนี้มาถึงเมืองหลวง ไม่สามารถเปรียบเทียบราคากับเมืองหลิวเจียได้
ยิ่งกว่านั้นคนมีอันจะกิน ของที่พวกเขาย่อมไม่สนใจราคา ยิ่งราคาสูงเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ปรบมือ
การกระทำของนางทำให้ทุกคนตกใจมาก
กู้ฟางสี่รุดขึ้นหน้าทันควัน ดึงกู้เสี่ยวหวานไว้และเอ่นถามด้วยความกังวล “เสี่ยวหวาน ข้าตกใจหมดเลย เจ้าเป็นอะไรไป”
ครั้นเห็นดวงตาฉายแวววิตกกังวลของกู้ฟางสี่ กู้เสี่ยวหวานก็กวาดสายตามองไปที่ผู้คนรอบตัวอย่างประหม่า โดยคิดว่าตอนนี้นางมีความสุขมากเกินไป และตอนนี้กำลังทำให้ทุกคนกลัว
จึงรีบพูดอย่างรวดเร็ว “ข้าสบายดี ทุกคนไม่ต้องกังวล จู่ ๆ ก็คิดอะไรดี ๆ ได้”
“คิดอะไรดี ๆ ได้?” ทุกคนถามกู้เสี่ยวหวานอย่างพร้อมเพรียงกัน
“สิ่งที่หลิวเทียนฉือพูดเมื่อครู่ทำให้ข้าได้สติขึ้นมา” กู้เสี่ยวหวานบอกทุกคนในสิ่งที่นางเพิ่งคิด
ทุกคนมาหน้ากันด้วยความาสันสนอลหม่าน
ว่าอย่างไรนะ?
เสี่ยวหวานต้องการทำกิจการในเมืองหลวงหรือ?
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่น่าเชื่อของทุกคน จึงพูดต่อ “ไม่ต้องแปลกใจ ข้าคิดอย่างนั้นเสมอ เราใช้เวลาทั้งชีวิตในเมืองหลิวเจียไม่ได้ เราต้องไปเปิดร้านขายผ้าที่เมืองหลวง ก่อนอื่นต้องเข้าใจตลาดในเมืองหลวงก่อน เมื่อถึงเวลาเราจะได้ทำอะไรถูก”
“เสี่ยวหวาน เจ้าบอกว่าเราจะไปเมืองหลวงหรือ?” กู้ฟางสี่ถามด้วยความประหลาดใจ น้ำแสดงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้มและพูดว่า “ท่านอา เมื่อครู่หลิวเทียนฉือบอกว่าเมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองมาก ท่านไม่อยากไปดูหรือ?”
“อยากสิ แต่ที่เมืองหลวงที่พลุกพล่าน” กู้ฟางสี่เงียบลง และหยุดพูดในที่สุด
เมืองหลวง
หลิวเทียนฉือเพิ่งกล่าวว่าร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลิวเจียเมื่อเทียบกับในเมืองหลวงแล้วสู้ไม่แม้แต่น้อย
เมืองหลวงแห่งนั้นเต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง กู้ฟางสี่ไม่ได้บอกว่านางถูกล่อลวง แต่หัวใจของนางพร้อมที่จะเคลื่อนไหวเล็กน้อย
นางอยู่ในหมู่บ้านชนบทมาครึ่งชีวิต สิ่งที่นางเห็นทุกวันคือบ้านที่สร้างขึ้นจากดิน มองเห็นแต่ภูเขาลำธาร และสิ่งที่นางเดินคือถนนลูกรังหรือคันนา
นางต้องการจะไปชมความครึกคักในเมืองหลวงจริง ๆ
กู้เสี่ยวอี้จับมือกู้เสี่ยวหวาน และพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพี่ ข้าอยากไป ข้าอยากไป”
นอกจากนี้ยังมีกู้หนิงผิง ผู้ซึ่งมีความปรารถนาในสายตาของเขาเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของทุกคน ป้าจางก็รู้สึกเหงาหงอย
นางแก่เกินที่จะไปเมืองหลวง
เมื่อได้ยินว่าในอนาคตกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ จะไปเมืองหลวงด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงรู้สึกเหมือนมีช่องว่างเกิดขึ้นในใจ
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ดีและป้าจางก็ยังเห็นด้วย
“ไปเมืองหลวงน่ะดีนะ” ป้าจางกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง และในอนาคตหนิงอันจะไปได้ขุนนางในเมืองหลวงอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าต้องไม่ทิ้งกันนะ พี่น้องสามารถกลับมารวมกันอีกครั้งในเมืองหลวงได้ ถ้าพ่อแม่ที่ล่วงลับของเจ้ารู้ก็คงหมดห่วง”
แม้ว่าจะเป็นเพียงการพูดคุย แต่สิ่งที่ป้าจางพูดทำให้กู้เสี่ยวหวานมีความตั้งใจมากขึ้นที่จะเปิดร้านขายผ้าแห่งนี้
อาโม่ซึ่งอยู่ข้าง ๆ ก็มีความสุขเช่นกันหลังจากได้ยินความคิดของกู้เสี่ยวหวาน
ยิ่งคิดถึงการส่งข้อความที่ดีถึงนายท่านคืนนี้ ก็คงทำให้นายท่านมีความสุขเช่นกัน
ในช่วงเวลานี้ ฉินเย่จือคงรู้สึกมีความสุขจนท่วมท้นจริง ๆ
ไม่ใช่แค่ความกังวลภายในเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาภายนอกด้วย
——————————————-