ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 923 ซื้อร้านที่เมืองหลวง
บทที่ 923 ซื้อร้านที่เมืองหลวง
บทที่ 923 ซื้อร้านที่เมืองหลวง
ไม่ได้กล่าวถึงว่าหน้าตางดงามหรืออ่อนโยน ในแง่ของรูปลักษณ์ นางไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับกู้ซินเถาที่มากด้วยเสน่ห์
รูปโฉมของกู้ซินเถานั้นงดงาม หากแต่ความงามนั้นหยาบคายเหลือทน
แต่กู้เสี่ยวหวานเปรียบดั่งดอกบัวหลังต้องหยาดฝน ดอกบัวบานอย่างสง่างามโผล่พ้นจากน้ำ ก่อให้เกิดความรู้สึกในใจที่อธิบายไม่ได้
กู้เสี่ยวหวานเอ่ยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในร้านอาหาร ดังนั้นหลังเอ่ยจบก็หันหมุนกายจากไป
ครั้นเห็นแผ่นหลังอันบอบบางของกู้เสี่ยวหวานหายลับไปจากหัวมุมถนน หลิวเทียนฉือก็ปรากฏรอยยิ้มเยาะจาง ๆ และคิดถึงสิ่งที่เจียงหย่วนพูด หลิวเทียนฉือก็ได้แต่สถบในใจ ‘กู้เสี่ยวหวาน ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เมื่อถึงเวลาอย่ามาร้องไห้อ้อนวอนข้าเลย’
ไม่กี่วันต่อมา มีคนมาจากเมืองหลวง
บนถนนกว่างอันซึ่งเป็นถนนสายที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองหลวง ครอบครัวหนึ่งที่ต้องการขายร้านโดยเร็วที่สุด เพราะครอบครัวมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงิน
สองพันตำลึง ฝ่ายหนึ่งจ่ายเงิน อีกฝ่ายก็ยกร้านให้ทันที
โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตเช่นนี้ หากพลาดปล่อยให้หลุดลอยไป คงไม่มีวันได้พบเจอโอกาสเช่นนี้อีก
หลี่ฝานรู้ดีว่าบนถนนกว่างอันที่พลุกพล่าน การพบเจอร้านค้าราคาสองตำลึงเงินนั้น ราวกับเจอโชคหล่นทับ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา หลี่ฝานไม่ได้ตัดสินใจปรึกษากับกู้เสี่ยวหวาน หลังจากตรวจดูร้านตนเองอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอนจนเสร็จสิ้น และไม่มีปัญหาใด ๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจซื้อร้านทันที
เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้จึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่านางมีทรัพย์สินในเมืองหลวงแล้ว
แม้ว่าจะไม่รู้มูลค่าของราคาในเมืองหลวง หากแต่นึกย้อนถึงชีวิตในชาติก่อน สถานที่อย่างเมืองหลวง ที่ดินทุกตารางนิ้วล้วนมีราคาแพง เงินสองพันตำลึงเงินนับว่าไม่สูงเลยหากได้ร้านค้าในย่านเจริญรุ่งเรืองมาครอบครอง
และยิ่งไปกว่านั้น หลิวเทียนฉือขายนำตุ๊กตาของนางไปขาย และขายพวกมันในราคาเงินตัวละสามร้อยตำลึงเงิน
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่สัญญาในมือตนเองแล้วคลี่ยิ้มกว้าง
รอยยิ้มของนางพลันทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย เมื่อมองดูตัวอักษรสีดำบนกระดาษสีแดงฉาน และตราขนาดใหญ่ของทางการ ทุกคนก็รู้สึกมีความสุข
กู้หนิงอันมองไปยังเอกสารที่มีคำว่า ‘กู้เสี่ยวหวาน’ ปรากฏอยู่ มือเล็กสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น “ท่านพี่ เราจะมีร้านในเมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่?”
กู้หนิงผิงเดินไปมาในห้องโถงอย่างไม่อาจห้ามความตื่นเต้นเอาไว้ได้
ป้าจางและกู้ฟางสี่ร้องไห้ด้วยความดีใจ น้ำหูน้ำตาไหลอาบแก้ม
ท้ายที่สุด แม้ว่าป้าจางจะไม่ใช่คนจากตระกูลกู้ แต่เมื่อเห็นว่าชีวิตของพวกเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงรู้สึกยินดีและมีความสุขกับเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
กู้ฟางสี่ซับน้ำตาด้วยผ้าขนหนู และพูดอย่างเศร้าใจ “ตอนนี้ชีวิตของเรากำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่น่าเสียดายที่พี่ชายและพี่สะใภ้ ฮึก ฮึก ฮึก”
เมื่อครั้งที่กู้ฟางสี่อยู่ในบ้านตระกูลกู้ คนที่นางโปรดปรานมากที่สุดก็คือพี่ชายคนรองและพี่สะใภ้ผู้มีคุณธรรม แต่แล้วพวกเขาก็ทิ้งเด็กเหล่านี้เอาไว้ และจากไปก่อนเวลาอันควร
ยามนี้ชีวิตของเด็กเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น และกำลังจะเริ่มสร้างกิจการในเมืองหลวง หากพี่รองและพี่สะใภ้รู้เรื่องนี้ พวกเขาคงจะนอนตายตาหลับเสียที
เมื่อได้ยินผู้เป็นอาเอ่ยถึงบิดาและมารดาของตนเอง ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานพลันแดงก่ำ และคิดถึงบิดาและมารดาของตนในชีวิตที่แล้ว เป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้วที่ตนเองเดินทางมายังอีกโลกหนึ่ง พวกเขาที่อยู่ทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
พวกเขาจะหลุดพ้นจากความโศกเศ้ราได้หรือยัง พบเจอความสุขบ้างหรือไม่
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกแสบจมูก และหลั่งน้ำตาออกมา
สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างน่าอึดอัดเล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานกอดกู้ฟางสี่ มุดตัวซุกในอ้อมกอดผู้เป็นอาและร้องไห้กระจองอแงเสียงดัง
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่ายินดี ในที่สุดทุกคนก็หยุดร้องไห้ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ทุกคนล้วนมีความสุข ดังนั้นเราจะมีอาหารมื้อพิเศษ ช่วงนี้ทุกคนทำงานกันอย่างหนัก นี่ก็ใกล้จะส่งท้ายปีเก่าแล้ว พวกเรามาพักผ่อนกันเสียหน่อยเถอะ แล้วค่อยเตรียมตัวสำหรับวันขึ้นปีใหม่ และไม่รู้ว่า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานหม่นลงอีกครั้ง และไม่รู้ว่านางจะพูดสิ่งใดต่อ
มีเพียงความปรารถนาบนใบหน้าเผยให้เห็นความคิดถึงอันลึกซึ้ง
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ กู้ฟางสี่มองหลานสาวพลางหันไปมองที่ป้าจาง จากนั้นลอบถอนหายใจเงียบ
อย่างเร็วที่สุดก็สามเดือน และช้าที่สุดก็เป็นเวลาครึ่งปี
ฉินเย่จือ แต่นี้มันก็เกือบปีแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่กลับมา
แม้ว่าภายนอกกู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะไม่แยแส แต่สวรรค์ก็รู้ว่าในใจของนางคิดถึงฉินเย่จือมากเพียงไหน
…..
เนื่องจากกู้เสี่ยวหวานปฏิเสธที่จะร่วมมือกับหลิวเทียนฉือครั้งแล้วครั้งเล่า ความโกรธเกรี้ยวของหลิวเทียนฉือก็แทบจะปะทุออก นางจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้กู้เสี่ยวหวานอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าหลิวเทียนฉือไม่มีความสุข เสี่ยวเถาจึงติดตามและปรนนิบัติรับใช้นางอย่างระมัดระวัง และรู้สึกเกลียดกู้เสี่ยวหวานมากยิ่งขึ้นจนแทบจะกระอักเลือด
เสี่ยวเถารอแทบไม่ไหวที่จะบังคับให้กู้เสี่ยวหวานคุกเข่าลงแทบเท้า และยอมจำนนต่อคุณหนูของนาง
วันนี้ไม่รู้ว่าหลิวเทียนฉือนึกคิดอย่างไร จู่ ๆ นางก็ไปหาเจียงหย่วนอย่างฉุกละหุก
เมื่อมาถึงลานบ้านของเจียงหย่วน ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า
เจียงหย่วนไม่อยู่บ้าน
เมื่อหลิวเทียนฉือเห็นท่าทางหวาดกลัวของสาวใช้ในลานบ้าน สาวใช้ปฏิเสธที่จะบอกว่าเจียงหย่วนหายไปไหน เสี่ยวเถากำลังจะด่าทอด้วยความโกรธเคือง หากแต่หลิวเทียนฉือกลับหัวเราะแผ่วเบา
“เสี่ยวเถา เรากลับกันเถอะ ถ้านายน้อยเจียงกลับมาให้บอกเขาว่าข้ามีธุระกับเขา”
เมื่อเห็นว่าหลิวเทียนฉือปล่อยผ่านอย่างง่ายดาย สาวรับใช้จึงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว และส่งหลิวเทียนฉือกลับไป
กลับไปยังเรือนที่นางใช้อาศัยยามอยู่ตระกูลเจียง หากแต่หัวใจของเสี่ยวเถายังคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ “คุณหนูรู้ชัดว่านายน้อยเจียงกำลังทำสิ่งใด เหตุใดคุณหนูถึงห้ามไม่ให้ข้าฉีกปากพวกนาง อีกทั้งนายน้อยเจียงยังเจ้าชู้ การที่นายท่านให้คุณหนูแต่งงานกับคนเช่นนั้นจะไม่เป็นการส่งคุณหนูไปลงนรกหรอกหรือเจ้าคะ?”
เสี่ยวเถาอาจไม่ได้คิดถึงตัวตนของนางว่าเป็นแค่สาวรับใช้เช่นกัน
สาวรับใช้กับสาวรับใช้ ใครจะสูงส่งกว่ากัน
หลิวเทียนฉือยิ้มคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ยิ่งเขาเจ้าชู้เท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น”
เสี่ยวเถาตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดว่าสามีในอนาคตยิ่งเจ้าชู้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น จึงอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมา “นายน้อยเจียงคือสามีในอนาคตของคุณหนูนะเจ้าคะ”
หลิวฉงหร่านและหลิวเทียนฉือได้หารือเรื่องนี้กันมานับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกลับจากเมืองหลวง ไม่มีข่าวใดจากทางราชสำนัก
หลิวฉงหร่านจึงตั้งความหวังทั้งหมดไว้กับเจียงหย่วนอีกครั้ง
“ฮ่องเต้ก็เหลือเกินเสียจริง ๆ เลย ทำให้คุณหนูของข้าเสียเวลาไปเกือบสองปีโดยเปล่าประโยชน์” เมื่อเสี่ยวเถานึกถึงสิ่งนี้ นางจึงไม่รู้สึกสบายใจอย่างมาก มันทำให้นางเสียเวลาไปเกือบสองปี
แต่นางก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา
——————————————-