ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 933 ตกเป็นเหยื่อ
บทที่ 933 ตกเป็นเหยื่อ
บทที่ 933 ตกเป็นเหยื่อ
กู้เสี่ยวหวานผู้เปี่ยมไปด้วยราศีและเกียรติเสมอ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อนางอยู่ในหมู่บ้าน ทุกครัวเรือนสามารถสร้างบางสิ่งขึ้นได้เพื่อหารายได้
แต่หลังจากที่นางถูกขับไล่ออกไปจากหมู่บ้าน ทุกครัวเรือนก็ไม่มีลู่ทางทำมาหากิน และสภาพชีวิตพวกเขาก็กลับไปสู่วังวนเดิม
เวลานี้ชาวบ้านจะคิดได้ว่ากู้เสี่ยวหวานเป็นดาวหายนะได้อย่างไร นางเป็นดาวนำโชคต่างหาก
พวกเขาขับไล่ดาวนำโชคออกไปโดยไม่รู้ตัว
ได้ยินมาว่าชาวบ้านผู้เช่าในเมืองหลิวเจียมีการปลูกมันเทศเป็นจำนวนมากในปีนี้
หากนางไม่ถูกขับไล่ออกไป ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกเป็นของหมู่บ้านอู๋ซี
ตอนนี้ทุกคนรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน
พวกเขากล่าวโทษว่าเป็นความผิดของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงทั้งหมด ก่อนหน้านี้พวกเขาสามารถสร้างรายได้มหาศาล แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบลง เหลือแต่ความว่างเปล่า
ถ้าหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงไม่ได้บอกว่ากู้เสี่ยวหวานถูกวิญญาณร้ายสิง แล้วใครจะขับไล่กู้เสี่ยวหวานออกจากหมู่บ้านกัน
ในเวลานั้น กู้เสี่ยวหวานได้พาพวกเขาไปตัดต้นไผ่และสานกล่องไม้ไผ่ และพวกเขาก็หาเงินได้มากมาย
ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งโยนตุ๊กตาทองคำที่สวรรค์ประทานมาถึงหน้าบ้านทิ้งไป
การขัดขวางไม่ให้ชาวบ้านร่ำรวยเช่นนี้ ใครบ้างเล่าจะไม่รู้สึกโกรธ ทุกคนโทษหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงด้วยความคิดเป็นเอกฉันท์
เป็นผลให้ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงในหมู่บ้านถูดลดทอนลง
ไม่ว่าเขาพูดอะไรก็มักจะมีคนโต้แย้งขึ้น เขาทำอะไรก็จะมีคนมาพูดบั่นทอนกำลังใจ
หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเป็นคนเฉลียวฉลาด เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไร โดยธรรมชาติแล้วเขาไม่สามารถพูดอะไรได้ และทำได้เพียงปล่อยให้ชาวบ้านชี้หน้าด่าตัวเอง
แต่ในใจเขากลับเกลียดชังกู้เสี่ยวหวานมากขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กหญิงคนนี้ แม้ว่าจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านอู๋ซี แต่ก็ยังทิ้งพลังอันยิ่งใหญ่เอาไว้ที่นี่ หากนางยังอยู่ที่หมู่บ้านอู๋ซี เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร
ตอนนี้ทุกคนเตรียมการไปหากู้เสี่ยวหวานเพื่อประจบประแจง
ยิ่งหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น และคิดหาวิธีจัดการกับกู้เสี่ยวหวาน โนเวล-พีดีเอฟ
เขาและกู้เสี่ยวหวานนับว่าเป็นศัตรูกัน ดังนั้นการจะไปเผชิญหน้ากับนางซึ่ง ๆ หน้าย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่กู้เสี่ยวหวานยังมีญาติอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?
เมื่อเห็นความเกียจคร้านของเฉาซินเหลียน หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็เริ่มเป็นกังวล
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เฉาซินเหลียนได้รับการสนับสนุนให้มาหากู้เสี่ยวหวาน
เดิมทีเฉาซินเหลียนไม่เคยคิดถึงกู้เสี่ยวหวานมากก่อน ครั้งสุดท้ายที่นางขโมยต้นกล้ามันเทศของกู้เสี่ยวหวาน ครั้งนั้นนางเกือบจะถูกกู้เสี่ยวหวานโยนเข้าคุก ครั้งนั้นหากนางไม่จ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่กู้เสี่ยวหวาน นางจะต้องติดคุกอย่างแน่นอน
แต่…
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงบอกนางในภายหลัง หัวใจของนางพลันเต้นระรัว แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะเกลียดนาง แต่กู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของกู้เสี่ยวหวานอยู่ดี
อีกฝ่ายคงไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้
ดังนั้นเฉาซินเหลียนจึงรีบวิ่งไปที่สวนกู้ด้วยความตื่นตระหนก
นางยังเลือกที่จะร้องไห้อย่างน่าสงสารที่หน้าประตูสวนกู้ในวันส่งท้ายปีเก่า
น่าเสียดายที่เสียงร่ำไห้นี้ไม่ได้กระตุ้นความเห็นอกเห็นใจของกู้เสี่ยวหวาน แต่กลับกัน…
กู้เสี่ยวหวานกลับยิ่งรังเกียจอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
หัวใจของเฉาซินเหลียนหดหู่ลงเล็กน้อย แต่วันนี้นางต้องเข้าไปในสวนกู้แห่งนี้ให้ได้
ถึงนางจะเข้าไปในสวนกู้ได้ แต่กู้เสี่ยวหวานก็ยังโยนนางออกไปได้เช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉาซินเหลียนก็หายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มประนีประนอมกับกู้เสี่ยวหวาน
ฉือโถวก็อยู่ด้านข้างเช่นกัน เมื่อมองไปที่ครอบครัวที่น่าเวทนาของพวกเขา เขาไม่ได้มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงความโกรธที่ทวีมากขึ้นเท่านั้น
เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ใช้แซ่กู้ เขาเป็นคนนอก ดังนั้นจึงกลัวว่าหากเขาพูดออกไป เฉาซินเหลียนจะต้องมีเหตุผลมาตอกกลับเขาอย่างแน่นอน
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าพวกนางหมายถึงอะไร จึงมองไปที่เฉาซินเหลียนและลูกพี่ลูกน้องทั้งสอง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เฉาซินเหลียน ท่านหมายความว่าอย่างไร วันส่งท้ายปีเก่ากลับพาเด็กสองคนมาหาข้าเพื่อร้องไห้อย่างน่าสมเพชเช่นนี้หรือ?”
เสียงของกู้เสี่ยวหวานเย็นชาราวกับธารน้ำแข็งในฤดูหนาว
เฉาซินเหลียนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และยิ้มอย่างเขินอาย “เสี่ยวหวาน ข้าไม่ไหวแล้วจริง ๆ ดังนั้นข้าจึงมาหาเจ้าตอนนี้”
สีหน้าของนางดูอับจนหนทาง
กู้หนิงผิงไม่ได้ชายตามองใบหน้าที่ประจบสอพลอของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย “เฉาซินเหลียน ท่านไม่คิดว่าการมาหาข้าและร้องไห้ขออาหารเป็นเรื่องน่าอายหรือไม่”
กู้ฉวนฟู่และเถียนซื่อจากไปก่อนวัยอันควร แม้ว่ากู้หนิงผิงจะจำใบหน้าที่เย็นชาและชั่วร้ายของกู้ฉวนลู่และกู้ฉวนโซ่วตอนที่พวกเขาเดินผ่านหน้าตนไม่ได้
แต่ต่อมาเฉาซินเหลียนทำการเลวร้ายต่อครอบครัวของตน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กู้หนิงผิงและคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถข้ามผ่านอุปสรรคในใจของพวกเขาได้
ยิ่งกว่านั้น เฉาซินเหลียนคนนี้เป็นคนพาล ถ้าได้เข้าไปในสวนกู้จริง ๆ ครอบครัวของเราก็จะไม่มีวันสงบสุข
เฉาซินเหลียนเห็นใบหน้าอันแสนเย็นชาของทุกคน หัวใจพลันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ กลัวว่าจุดประสงค์ในการมาในวันนี้ของนางจะไม่สำเร็จ
ดังนั้นนางจึงก้มศีรษะลง กลอกตาลุกลี้ลุกลนและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที
มือที่จับคอเสื้อของเด็กทั้งสองคนขยับแผ่วเบา
ทันทีที่เด็กทั้งสองได้ยินเฉาซินเหลียนสั่งการ พวกเขาก็คุกเข่าลงต่อหน้ากู้เสี่ยวหวานทันทีโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าและร้องไห้เอ็ดตะโร “ท่านพี่ ท่านพี่ พวกเราหิวแล้ว ขออาหารให้ข้าหน่อยเถอะ”
พวกเขาดึงถึ้งกระโปรงของกู้เสี่ยวหวาน เด็กหญิงปรายตามองพวกเขาสองคนและขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่พูด เฉาซินเหลียนก็คุกเข่าลงเสียงดัง และตบหน้าตัวเองพร้อมกับร้องไห้เสียงดัง “เสี่ยวหวาน ในตอนนั้นมันเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรทำร้ายพวกเจ้าและข้าก็ได้รับผลกรรมแล้ว ถ้าเจ้าไม่ช่วยเรา เจ้าก็ควรช่วยถิงถิงและซุ่นสีหน่อยเถอะนะ พวกเขาไม่มีความผิดเลย”
กู้ฟางสี่ดีใจที่เห็นเฉาซินเหลียนกลายเป็นขอทาน ดวงตาของนางแดงก่ำด้วยความโกรธ “เฉาซินเหลียน เจ้าไม่ละอายใจหรือที่ยื่นมือขอเงินหลานสาวของเจ้าเช่นนี้”
เฉาซินเหลียนรู้อยู่แล้วว่ากู้ฟางสี่ได้หย่ากับหลิวชิงซานแล้ว หญิงที่ไม่มีใครต้องการและถูกทอดทิ้งยังคงอยู่ที่นี่
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงเรื่องนี้อยู่ในใจ นางก็เลิกคิ้วขึ้นหันหลังกลับและลุกขึ้นจากพื้น นางมองไปที่กู้ฟางสี่และพูดด้วยรอยยิ้ม “ฟางสี่ ท้ายที่สุดเจ้าก็เป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว การมาอยู่บ้านของหลานสาวตัวเองเช่นนี้คงจะดูไม่ดี ที่บ้านยังเหลือห้องอยู่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
——————————————-