ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 966 ออกจากเมืองหลวงเพื่อกลับบ้าน
บทที่ 966 ออกจากเมืองหลวงเพื่อกลับบ้าน
บทที่ 966 ออกจากเมืองหลวงเพื่อกลับบ้าน
หลี่ฝานหยิบใบประกาศออกมากล่าวเคล้ารอยยิ้ม “แม่นางทั้งหลาย ถ้ามีอะไรที่พวกท่านต้องการ ร้านของเรายังมีบริการปรับแต่งสินค้าได้ตามต้องการ พวกท่านต้องการรูปแบบใดและขนาดใด ข้าจะจดชื่อและความประสงค์ของพวกท่านไว้ เมื่อสินค้าทำเสร็จแล้ว ข้าจะแจ้งทุกท่านให้มารับสินค้าที่ร้านของเรา พวกท่านคิดว่าอย่างไร”
นี่เป็นความคิดของกู้เสี่ยวหวาน จุดประสงค์คือเพื่อให้สะดวกสำหรับหญิงบางคนที่ยังไม่ได้ซื้อแต่อยากได้ พวกนางสามารถจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อนได้ แล้วนางจะรีบเร่งการผลิตในเมืองหลิวเจีย และเมื่อสินค้าพร้อมจำหน่ายก็จะถูกส่งไปยังเมืองหลวง
เมื่อพวกมันมาถึงเมืองหลวงก็แจ้งให้คุณหนูแต่ละครอบครัวที่ต้องการสินค้าให้มารับของพร้อมกับชำระเงินที่ค้างอยู่
ครั้นได้ยินว่ามีบริการดังกล่าว เหล่าคุณหนูที่มาซื้อตุ๊กตาไม่ทันจึงคลี่ยิ้มกว้าง และรีบวิ่งไปหาหลี่ฝาน พูดคุยเกี่ยวกับความคิดของตัวเอง และจ่ายเงินมัดจำเอาไว้
หลี่ฝานลงชื่อพวกนางทีละคนด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่าเมื่อสินค้ามาถึง เขาจะแจ้งให้พวกนางทราบโดยเร็วที่สุด
ในที่สุด งานในวันนี้ก็จบลง กู้เสี่ยวหวานก็ตามฉินเย่จือกลับไปที่โรงเตี๊ยม
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงทำให้นางรู้สึกสดชื่นและได้รับแรงบันดาลใจมากมาย
ไม่แปลกใจเลยที่คนสมัยใหม่มักพูดว่าการทำธุรกิจต้องเดินทางมากขึ้น และมองให้กว้างขึ้น เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถสร้างรายได้มหาศาลจากการอยู่บ้าน
กู้เสี่ยวหวานคิดถึงอะไรบางอย่างและฉินเย่จือก็สังเกตเห็นเช่นกัน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาใช้เวลาช่วงกลางคืนเพื่อกลับไปยังวังหลวง และเมื่อเขาบอกฮ่องเต้น้อยเกี่ยวกับเรื่องเอกสาร ฮ่องเต้น้อยก็เอ่ยชมเชยเขาทันที
วันต่อมาจึงส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังเริ่มดำเนินการ
ตราบใดที่มีความคิดที่ดี การทำสิ่งต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก ท้ายที่สุดพวกเขาจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้เรื่องนี้กระจายไปทั่วเมือง
“หวานเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าถึงอยู่ในภวังค์เช่นนั้น”
“ข้ากำลังสงสัยว่าจะมีสักวันที่ข้าสามารถอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและกลายเป็นคนเมืองหลวงได้หรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ชอบชื่อเสียงหรือเกียรติยศ แต่คนย่อมเดินขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงที่ต่ำ
ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงดีกว่าเมืองรุ่ยเสียนและเมืองหลิวเจียมาก
นางอยากจะออกไปเดินเล่น มองดูและใช้ชีวิตในแบบที่นางไม่เคยใช้มาก่อน
ฉินเย่จือพยักหน้าและพูดว่า “คงจะมีสักวันหนึ่งที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวของเราจะมาที่เมืองหลวง ซื้อบ้านในเมืองหลวง อาศัยอยู่ในเมืองหลวงและใช้ชีวิตที่เราไม่เคยใช้มาก่อน ถ้าวันหนึ่งเจ้าเบื่อชีวิตที่รุ่งเรือง ข้าจะกลับไปอยู่ที่เมืองหลิวเจียกับเจ้า ปลูกพืช เลี้ยงไก่ เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ และใช้ชีวิตด้วยกัน เจ้าคิดดูสิว่ามันดีแค่ไหน”
คำพูดของฉินเย่จือนั้นล้วนเป็นการทำเพื่อกู้เสี่ยวหวาน
หากหลายปีต่อมากู้เสี่ยวหวานรู้สึกเบื่อหน่ายกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง และกลับไปที่หลิวเจียเพื่อไปเป็นเจ้าของที่ดิน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอนาคต
เหมือนกับว่าผู้คนจะใช้ความพยายามของตนเองเพื่อดำเนินชีวิตที่ดีมากกว่าเดิม
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกประทับใจเมื่อได้ยินฉินเย่จือพูดคำดังกล่าว
ข้าสามารถผ่านร้อนผ่านหนาวไปกับเจ้าได้ตลอดชีวิต
หลังจากอยู่ในเมืองหลวงนานกว่าสิบวัน กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือก็ต้องเตรียมตัวกลับไปที่เมืองหลิวเจีย
ในช่วงไม่กี่วันที่พวกเขากลับไป หลี่ฝานก็เริ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
กิจการทั้งหมดในเมืองรุ่ยเสียนที่ได้รับการดูแลโดยกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ หลี่ฝานก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
ดังนั้นสมาชิกในครอบครัวของหลี่ฝานจึงมารวมตัวกันที่เมืองหลวง
กู้เสี่ยวหวานเองก็มีความสุขไปกับเขาเช่นกัน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สถานที่ที่มีครอบครัวอยู่ก็คือบ้าน เมื่อมีคนเดินออกไปข้างนอกเป็นเวลานานจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกคิดถึงบ้าน
สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ก็คือ ฉินเย่จือแนะนำให้ครอบครัวของหลี่ฝานย้ายมาอยู่ที่นี่
หลี่ฝานมาถึงเมืองหลวง และเมื่อกิจการในเมืองหลวงดำเนินการไปได้ด้วยดี ดังนั้นเขาจึงไม่กลับไปที่เมืองรุ่ยเสียนอีกเป็นธรรมดา
ในที่สุด เมื่อวันจากกันมาถึง หลี่ฝานไปส่งกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ นอกเมืองหลวงซึ่งห่างจากตัวเมืองสิบลี้ จากนั้นจึงกล่าวคำอำลากัน
เมื่อเห็นว่าหลี่ฝานค่อย ๆ ลับสายตาไป จากนั้นกู้เสี่ยวหวานก็พูดอย่างเศร้าใจ “ข้าไม่ได้เจอท่านลุงหลี่มานานมากแล้ว เขาซูบผอมลงไปมากจริง ๆ คาดว่าชีวิตช่วงนี้ของเขาคงลำบากไปมาก”
ฉินเย่จือพยักหน้าและพูดว่า “กิจการของร้านอาหารสองสามแห่งอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องก็ดีแล้ว นอกจากนี้เขายังเป็นคนอยู่ไม่สุขอีกด้วย”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและพูด “ถ้าไม่ใช่เพราะความใจดีของท่านลุงหลี่ในตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าจะไปหาอาหารอยู่ที่ไหน”
เงินของกู้เสี่ยวหวานล้วนมาจากหลี่ฝาน
นางจะไม่มีวันลืมความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของหลี่ฝานไปตลอดชีวิตของนาง
หากไม่ใช่เพราะหลี่ฝานไว้วางใจนางที่เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย ๆ หากเขาตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนคนในร้านอาหารข้าง ๆ ทักษะของนางก็คงไร้ประโยชน์ นับประสาอะไรกับการหาเงิน
แน่นอนว่านี่คือจุดที่ฉินเย่จือให้ความสำคัญกับหลี่ฝานมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลี่ฝานเป็นคนจิตใจดี และในตอนนั้นเขาได้ให้ทางรอดแก่กู้เสี่ยวหวาน
นั่นเท่ากับว่าเขาได้ให้ทางรอดแก่ฉินเย่จือด้วยเช่นกัน ในใจของเขาจึงเชื่อมั่นในตัวหลี่ฝานมากยิ่งขึ้น
“เถ้าแก่หลี่เป็นคนที่รู้จักผู้คน บางทีในตอนนั้นเขาอาจจะมองเห็นความมั่นใจในตัวเจ้า ดังนั้นเขาจึงเต็มใจให้โอกาสเจ้าเป็นธรรมดา”
ฉินเย่จือพูดอย่างเป็นกลาง
ถ้ากู้เสี่ยวหวานเป็นคนที่ไม่มีความรู้ หลี่ฝานคงไม่ให้โอกาสนาง
โอกาสทั้งหมดนี้เป็นเพราะสวรรค์มอบไว้ให้นาง
ใครก็ตามที่เตรียมพร้อมย่อมได้รับโอกาส
รถม้าแล่นไปตามถนนเป็นหลุมเป็นบ่ออีกครั้ง ยามกลับบ้านก็เร่งรีบเหมือนตอนขามาและต้องใช้เวลากว่าสิบวันในการกลับไปที่เมืองหลิวเจีย
เมื่อพวกเขามาถึงสวนกู้ กู้เสี่ยวอี้และกู้ฟางสี่ได้ยินว่าตุ๊กตาในเมืองหลวงถูกขายหมดในทันที พวกเขาทั้งหมดก็ตื่นเต้นมาก
เมื่อได้ยินว่าตุ๊กตาตัวใหญ่ถูกขายในราคาหนึ่งร้อยตำลึงเงินต่อหนึ่งตัว มือของกู้ฟางสี่ก็สั่นระริกด้วยความตื่นเต้น
“เสี่ยวหวาน จริงหรือ? เจ้าไม่ได้โกหกอาจริง ๆ ใช่ไหม? ขายได้เงินมากขนาดนั้นจริงหรือ?” กู้ฟางสี่รู้สึกตื่นเต้นมากจนพูดติดขัด
กู้เสี่ยวหวานยิ้มเมื่อเห็นกู้ฟางสี่ไม่เชื่อ ฉินเย่จือหยิบของสิ่งหนึ่งออกจากเสื้อของเขาแล้วมอบให้กู้เสี่ยวหวาน
——————————————-