ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย - บทที่ 97 คิดถึงท่านพ่อและท่านแม่
บทที่ 97 คิดถึงท่านพ่อและท่านแม่
บทที่ 97 คิดถึงท่านพ่อและท่านแม่
กู้เสี่ยวหวานลุกขึ้น แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด หยิบตะเกียบขึ้นคีบเนื้อวางลงในถ้วยของเสี่ยวฉือโถวสองสามชิ้น หลังจากนั้นก็คีบเนื้อให้ท่านลุงจางและท่านป้าจาง
เห็นกู้เสี่ยวหวานเกรงใจขนาดนั้น พวกท่านป้าจางและคนอื่นก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป ค่อย ๆ คีบอาหารขึ้นมากิน
ทุกคนกินอาหารมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย หลังกินอาหารเย็นเสร็จ ท่านป้าจางก็อาสาล้างจานด้วยตนเอง แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ยอม ทั้งสองเลยช่วยกันเก็บกวาดห้องครัว และบอกวิธีการทำน้ำแกงกระดูกหมูกับท่านป้าจาง
พอได้ยินว่าวิธีการทำน้ำแกงกระดูกหมูช่างง่ายดาย ท่านป้าจางก็ตบมืออย่างตื่นเต้น “ง่ายเพียงนี้เชียว เดี๋ยวอีกสองสามวันข้าจะเข้าไปเมือง ซื้อกระดูกมาตุ๋นน้ำแกงให้พวกท่านลุงจางกินดีกว่า!”
“อืม ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านป้า กระดูกหมูพวกนี้มีราคาถูก แต่มีประโยชน์สูง” กู้เสี่ยวหวานตอบกลับ ทั้งยังบอกวิธีทำอาหารจากกระดูกหมูอีกสองสามอย่าง “เหมือนกับแป้งกวนของท่านป้าจาง น้ำแกงนั้นเอาน้ำแกงกระดูกหมูมาต้ม ทั้งหอม ทั้งได้ไขจากกระดูก ทำให้ท่านลุงจางกับพี่เสี่ยวฉือโถวกินต้องอร่อยแน่เจ้าค่ะ!”
ทั้งสองพูดไปแต่มือก็ไม่ช้าลงเลยสักนิด หลังจากล้างหม้อล้างกระทะเสร็จก็คว่ำวางไว้ที่เดิม แล้วค่อยกลับไปยังห้องโถงใหญ่
นางเห็นกู้หนิงผิงกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
“เกิดอะไรขึ้นหรือถึงทำให้หนิงผิงดูมีความสุขขนาดนี้” ท่านป้าจางหัวเราะตามไปด้วยเช่นกัน
“ท่านพี่ ท่านป้าจาง ในที่สุดข้าก็เขียนคำว่ากู้ของพวกเราได้แล้ว!” กู้หนิงผิงบอกเหตุผลกับพี่สาวตัวเองอย่างมีความสุข หลังจากนั้นก็ดึงให้กู้เสี่ยวหวานไปดูตัวอักษรหนึ่งตัวบนพื้น ตัว ‘กู้’ ที่เขียนนั้นแม้ว่าจะเขียนได้บิด ๆ เบี้ยว ๆ แต่มีขีดครบเขียนเป็นคำหนึ่งคำได้อย่างสมบูรณ์
“ไม่เลวเลย!” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยชมพลางมองไปที่กู้หนิงอัน น้องชายสองคนต่างพากันตื่นเต้นดีใจ แม้ว่าพรสวรรค์การเขียนอักษรของกู้หนิงผิงจะไม่ได้ดีเลิศ แต่เพราะเรียนและฝึกเขียนมาตลอดช่วงบ่ายจนเย็นค่ำ เขาถึงสามารถเขียนคำที่ยากขนาดนี้ออกมาได้
ช่างหาได้ยากจริง ๆ
พอท่านป้าจางได้ยินว่ากู้หนิงผิงสามารถเขียนหนังสือได้แล้ว ก็พูดอย่างดีใจเช่นกันว่า “ไหน หนิงผิงของเราเขียนอักษรได้แล้วหรือ? ให้ข้าดูหน่อยสิ!” จนกระทั่งท่านป้าจางเห็นตัวอักษรที่อยู่บนพื้น แม้จะไม่รู้ว่ากู้หนิงผิงเขียนว่าอะไร ทั้งไม่รู้ว่ากู้หนิงผิงเขียนมันได้อย่างไร แต่ท่านป้าจางเห็นกู้หนิงผิงดีใจขนาดนั้นแล้ว นางก็รู้สึกดีใจไปกับกู้หนิงผิงด้วยเช่นกัน
“ไม่เลว ตอนที่พ่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เดิมทีเขาก็สอนเสี่ยวฉือโถวเขียนหนังสือเหมือนกัน เพียงแต่หลังจากที่เขาจากไป ก็ไม่ได้เห็นตัวหนังสือที่พ่อของเจ้าเขียนอีกเลย” ท่านป้าจางถอนหายใจ นางไม่รู้เหมือนกันว่าเย็นวันนี้เกิดอะไรขึ้น เดิมทีมีเรื่องน่าขบขันให้ได้หัวเราะกันอยู่เลย เหตุใดอยู่ ๆ ก็คิดถึงคนที่จากไปแล้วอีกกันนะ
น่าจะเพราะตอนนี้พวกเขามีชีวิตอยู่สุขสบายก็เป็นได้ จึงได้คิดถึงคนที่จากไปเร็วอย่างน่าเสียดายแบบนั้น
“ดีแล้ว พวกเจ้าต่างก็มีความสามารถ ถ้าพ่อกับแม่เจ้ามองลงมาจากสวรรค์ พวกเขาต้องดีใจกับพวกเจ้าแน่!” ท่านป้าจางน้ำตาไหลอย่างไม่อาจกลั้นเอาไว้ ทว่ามันกลับเป็นน้ำตาของความซาบซึ้ง “พวกเจ้าไม่ต้องสนข้า ข้าแค่ดีใจมาก จนอดไม่อยู่”
กู้เสี่ยวหวานเข้าใจท่านป้าจาง เดิมทีตอนที่แม่ของนางยังอยู่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับท่านป้าจางที่สุด ตอนที่ท่านลุงจางเพิ่งเสียขา ครอบครัวท่านป้าจางก็ไม่มีบุรุษคอยทำงานใช้แรงงาน พอท่านพ่อทำนาของตัวเองเสร็จก็จะไปช่วยท่านป้าจางต่อ ท่านลุงจางกับท่านป้าจางจึงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
ท่านลุงจางเองก็ถอนหายใจเช่นกันแล้วพูดว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าเป็นพี่สาว โบราณว่าพี่สาวก็เหมือนแม่ ถ้าพ่อกับแม่เจ้าเห็นว่าดูแลน้อง ๆ ได้ดีขนาดนี้ พ่อกับแม่เจ้าก็คงตายตาหลับแล้ว”
บางทีคนจิตอ่อนแอก็เป็นเช่นนี้ อารมณ์อ่อนไหวง่าย กู้เสี่ยวหวานคิดว่าต่อให้จะโลกก่อนหน้านี้หรือว่าตอนนี้ พอเห็นน้ำตาของท่านป้าจาง จมูกก็แสบร้อนขึ้นมาทันทีจนอดน้ำตาไหลเหมือนกันไม่ได้ ทั้งร้องไห้ให้กับท่านพ่อท่านแม่และพ่อแม่แท้ ๆ ของตนเอง วันนี้เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะฉลองปีใหม่กันอย่างไร
ไม่มีนางเคียงข้างแล้ว ครอบครัวจะครึกครึ้นหรือไม่ คุณแม่กู้นั้นชอบห่อเกี๊ยวที่สุด โดยคุณพ่อกู้จะเป็นคนไปซื้อผัก หลังจากกลับบ้านก็นำมาสับทำไส้เกี๊ยว มีไส้ผักกาดขาวหมูสับ เห็ดหอมหมูสับ ขึ้นฉ่ายหมูสับ แครอทหมูสับ แม่จะนั่งรีดแป้งห่อเกี๊ยวที่ห้องนั่งเล่น ส่วนกู้เสี่ยวหวานก็มีหน้าที่แค่ห่อ
ในห้องนั่งเล่นก็จะเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ครอบครัวพูดคุยส่งเสียงหัวเราะ พอตอนบ่ายก็ทำเกี๊ยวได้หลายร้อยตัวแล้ว! ปีนี้กลับต้องมาเจอความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบิดาและมารดาจะมีกะจิตกะใจห่อเกี๊ยวหรือไม่
ในใจของกู้เสี่ยวหวานมีหลายร้อยความรู้สึก สุดท้ายเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ ก็ทวีดังขึ้น เด็กหญิงรู้สึกอยากร้องไห้มาก นางคิดถึงพ่อกับแม่ แต่มันกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว จะกลับก็กลับไม่ได้ พ่อกับแม่ไม่มีนางที่เป็นเสื้อนวมตัวน้อย[1]แล้วจะเสียใจขนาดไหนกัน!
เมื่อก่อนครอบครัวรวมตัวบรรยากาศครึกครื้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ปีใหม่นี้พวกเขาก็น่าจะทอดถอนใจเงียบสงัดอย่างน่าสงสารหรือไม่
เพียงหัวขาวส่งหัวดำ[2] พวกเขาก็คงจะเสียใจมากแล้ว พอคิดว่าพ่อกับแม่จะเสียใจขนาดไหน ในใจของกู้เสี่ยวหวานก็เจ็บปวดรวดร้าว
นานทีเด็ก ๆ จะเห็นพี่สาวของตนร้องไห้ ทั้งยังร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่อีกด้วย
“ท่านแม่ ข้าอยากมีท่านแม่…” กู้เสี่ยวอี้ที่อายุน้อยที่สุดเบาะปากร้องไห้สะอึกสะอื้น
เดิมทีเวลาคิดถึงบิดามารดา กู้เสี่ยวหวานมักจะเก็บความรู้สึกเอาไว้ภายในใจตัวเอง พอได้ยินเสียงร้องของกู้เสี่ยวอี้นางก็ได้สติกลับมา เด็กที่อายุน้อยที่สุดสะอื้นไห้จนจมูกแดง พอเห็นดังนั้นก็รีบอุ้มกู้เสี่ยวอี้ขึ้นมากอดไว้ ตบหลังและพูดปลอบไปด้วย “เสี่ยวอี้เด็กดี อย่าร้อง ข้าอยู่นี่แล้ว ๆ….”
กู้เสี่ยวหวานเห็นเด็ก ๆ กำลังร้องไห้ หัวใจของนางก็เจ็บปวดไม่น้อย เด็ก ๆ ที่น่าสงสาร เดิมทีพวกเขาควรจะมีพ่อและแม่ แต่กลับต้องจากลาจากพ่อแม่แบบนี้เป็นการลงโทษที่โหดร้ายที่สุดของพวกเขายิ่งนัก
ในเนื้อเพลงช่างกล่าวได้ดี เด็กที่มีแม่ก็คือสมบัติล้ำค่า เด็กที่ไม่มีแม่ก็คือต้นหญ้า
ตอนนี้พวกเขาก็เป็นเหมือนต้นกล้าเล็ก ๆ สี่ต้นที่ลอยอย่างไม่มั่นคงอยู่ท่ามกลางสายน้ำ เมื่อไม่มีอ้อมกอดของผู้เป็นมารดา ก็ได้แค่ขยับไปมาในน้ำเท่านั้น ไร้ซึ่งคนห่วงใย ไร้ซึ่งคนดูแล
“เสี่ยวอี้ อย่าร้อง ข้าอยู่นี้….” กู้หนิงอันเช็ดน้ำตาบนหน้าน้องสาวอย่างแรง พูดด้วยเสียงอู้อี้ในลำคอ
“อืม เสี่ยวอี้ อย่าร้อง ข้าก็อยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกัน…” กู้หนิงผิงก็พยายามเช็ดน้ำตาของน้องสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของกู้เสี่ยวหวานด้วยเช่นกัน
พี่สาวและน้องชายสามคนกอดน้องเล็กกู้เสี่ยวอี้ จนกลายเป็นก้อนกลมหนึ่งก้อน กอดแนบแน่นในอ้อมกอดของกันและกัน
[1] 小棉袄 หรือเสื้อนวมตัวน้อย อุปมาถึงลูกสาวที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดพ่อแม่ เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่
[2]หัวขาวส่งหัวดำ หมายถึง พ่อแม่ที่ลูกเสียชีวิตก่อนตัวเอง
สารจากผู้แปล
สารภาพว่าแปลตอนนี้แล้วร้องไห้เหมียนหมาเลยค่ะ หัวอกพ่อแม่อะ ปีก่อน ๆ ยังได้ฉลองปีใหม่กับลูก มาปีนี้ลูกคนเดียวของครอบครัวจากไปแล้วต้องฉลองกันอย่างเงียบเหงาเพียงสองคน มันน่าปวดใจมากเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)