ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน - ตอนที่ 129 ตบแล้วตบอีก
ตอนที่ 129 ตบแล้วตบอีก
หยุนเชวี่ยค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้นยืนพลางลูบบั้นท้ายของตนแผ่วเบา แม่นางเหลียนดึงหยุนเชวี่ยออกไปก่อนก้มลงปัดฝุ่นผงตามร่างกาย จากนั้นจึงหมุนตัวอีกฝ่ายเพื่อพินิจให้ถ้วนถี่ ครั้นเห็นว่าหยุนเชวี่ยไม่ได้รับบาดเจ็บใดมากจึงรู้สึกโล่งใจขึ้น
“ท่านลุงจาง! ช่วยข้าด้วยขอรับ!” เหอยาโถวรีบกระโดดไปหลบอยู่ด้านหลังชายผิวคล้ำรูปร่างกำยำคนหนึ่งที่เข้ามายืนมุงดูเหตุการณ์
“ออกมาเดี๋ยวนี้! คิดว่าซ่อนข้าพ้นหรือ?!” หยุนชิ่วเอ๋อเงื้อไม้กวาดตามไล่กวดอีกฝ่ายราวคนเสียสติ
“ข้าไม่โง่พอที่จะยืนอยู่เฉย ๆ แล้วรอให้ท่านทำร้ายทุบตีเป็นแน่!” เหอยาโถวโผล่หัวออกมาเล็กน้อยพลางตอบโต้อย่างฉะฉาน
“นี่! เจ้า…” หยุนชิ่วเอ๋อขบริมฝีปากแน่น
“เขาเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เจ้าจะทุบตีเขาให้ได้สิ่งใดขึ้นมารึ?!” ชายผู้ซึ่งเหอยาโถววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังขวางระหว่างนางและเด็กชายพลางปัดไม้กวาดออกไปให้พ้นทาง
“จางเอ้อชู! ท่านอย่าได้ริมาสั่งสอนบทเรียนแก่ข้า!” แม้อายุของตนจะน้อยกว่าชายตรงหน้าถึงหนึ่งรอบ ทว่าหยุนชิ่วกลับมิได้มีความเกรงใจแม้แต่น้อยด้วยคิดว่าตนเองก็ไม่ใช่เด็กหญิงเช่นกัน ดวงตาของนางแดงก่ำและเบิกโพลงยิ่งกว่าระฆังทองแดง ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“คนในตระกูลนี้เป็นอะไรไปเสียหมด?”
“เป็นสตรีแรกรุ่นยังไม่แต่งงานออกเรือนด้วยซ้ำ เหตุใดจึงเจ้าอารมณ์นัก?”
“ท่านผู้เฒ่า ดูแลบุตรสาวของท่านให้ดีหน่อยเถิด…”
เหล่าผู้คนซึ่งมามุงดูเหตุการณ์ต่างส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาเกินทน พวกเขาได้ยินข่าวลือว่าหยุนชิ่วเอ๋อลงมือทำร้ายภรรยาบัณฑิตแห่งตระกูลกระทั่งถึงแก่ความตาย จนถึงตอนนี้ยังมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกับเด็กชายจนวุ่นวายไปทั่ว ในระยะสิบลี้แปดหมู่บ้านใกล้เคียง พวกเขายังไม่เคยพบพานสตรีนางใดที่อำมหิตถึงเพียงนี้มาก่อน
“ชิ่วเอ๋อ! กลับเข้าบ้าน!” ผู้เฒ่าหยุนเดินตรงเข้ามาพลางยกมือไพล่หลัง ใบหน้าคล้ำหม่นเสียยิ่งกว่าตะกรันก้นหม้อ
“เหอยาโถวกล่าววาจาไร้สาระ! ข้าต้องฉีกปากมันให้จงได้!” หยุนชิ่วยังคงแผดเสียงก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง
“กลับเข้าบ้าน! ไม่มียางอายบนหน้าเลยหรืออย่างไรกัน?!” ผู้เฒ่าหยุนออกคำสั่งเสียงเข้มขรึมยิ่งกว่าเก่า จากนั้นจึงหมุนกายกลับเข้าไปในตัวบ้าน “ตามข้ามาเดี๋ยวนี้!”
หยุนลี่จงเป็นคนแรกที่ถอยออกไปจากที่เกิดเหตุ
“ไปเถิด! เข้าบ้าน… อย่าให้ผู้คนมองเราเป็นเรื่องน่าขันเลย” หยุนลี่เต๋อปราดเข้าไปดันหยุนชิ่วเอ๋อออกมา
“ไปให้พ้น! อย่าแสร้งทำตนว่าเป็นคนดี!” หยุนชิ่วเหวี่ยงไม้กวาดขับไล่เขาก่อนกลอกตาหนึ่งครั้งและเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปในตัวบ้านด้วยความโกรธจัด
“พวกเราก็กลับเข้าบ้านกันเถิด” แม่นางเหลียนโอบไหล่หยุนเชวี่ยพลางกระซิบสั่ง
หยุนเชวี่ยพยักหน้าและหันไปทางเหอยาโถวพลางพูดให้เห็นรูปปากชัดเจนทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ‘ไว้เราค่อยพบกันวันหน้า’
“หมดเรื่องสนุกแล้ว! ทุกคนแยกย้ายกลับไปทานมื้อค่ำกับครอบครัวกันเถิด!” เหอยาโถวยิ้มร่าพลางโบกมือให้หยุนเชวี่ยด้วยท่าทางซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาราวเขาไม่เคยเผชิญกับการถูกไล่ทำร้ายก่อนหน้านี้
ชานเรือนตระกูลหยุน
หลังประตูบ้านถูกปิดสนิท ดูเหมือนหยุนชิ่วมิได้สงบสติอารมณ์ลงแม้แต่น้อย ทั้งยังดูดุร้ายกว่าเดิมเสียอีก นางยืนนิ่งอยู่กลางชานเรือนและประจันหน้ากับครอบครัวของหยุนลี่เซียวและแม่นางเฉิน
“ซานหลาง! ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่น! มันสืบสันดานเลวมาจากพวกเจ้าหรืออย่างไรกัน? ปากสว่างยิ่งกว่าอะไรดีเสียอีก! ได้แต่กล่าววาจาไร้สาระแต่เช้าจรดเย็น! หากมันหวนกลับเข้ามาข้าจะหักขามันเสีย! ดูเลือดเนื้อเชื้อไขที่ท่านให้กำเนิดมาสิพี่สาม! เป็นเพียงกระดูกไร้ราคาเท่านั้น ปล่อยให้หมาป่ามาคาบเอาไปให้แห้งตายอยู่ด้านนอกนั่นเสียยังเกิดประโยชน์กว่า ตระกูลของเราจะได้ไร้ซึ่งมลทินเสียที!”
เวลานี้ถ้อยคำสาปแช่งจากปากหยุนชิ่วเอ๋อผู้เต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้นรุนแรงขึ้นทุกขณะ กระทั่งหยุนลี่เซียวไม่อาจนั่งฟังอย่างนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
“โครม!” ประตูห้องถูกถีบกระแทกโดยแรงจนเปิดกว้าง
“เจ้ายังกล้าด่าทอลูกข้าอีกรึ?!” หยุนลี่เซียวเดินโซเซออกจากห้องส่วนตัวพลางจับจ้องไปยังหยุนชิ่วเอ๋อด้วยแววตาแข็งกร้าว ใบหน้ามืดมนด้วยความโกรธจนกลายเป็นสีคล้ำเข้ม
“ฮึ่ม! ข้าไม่เพียงกล้าดุด่ามันแต่ยังกล้าสาปแช่งท่านด้วย! ไอ้เด็กนั่นมันเลี้ยงไม่เชื่อง ส่วนเจ้าก็เป็นตาแก่โง่เง่า! หยุนลี่เซียว ข้าไม่กลัวเจ้า…”
หยุนชิ่วเอ๋อยังคงด่าทอไม่หยุดปากด้วยความลำพองตนประหนึ่งห่านตัวใหญ่ซึ่งไร้เทียมทาน แต่ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวจนจบประโยค พวงแก้มด้านซ้ายพลันเจ็บแปลบปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน!
“เผียะ!” หยุนลี่เซียวเงื้อฝ่ามือตบหน้าหยุนชิ่วเอ๋อเต็มแรง
“เจ้ามันชั่วช้าสามานย์! พี่สะใภ้ใหญ่ของข้านอนนิ่งไม่ไหวติงไม่อาจทราบสถานะเป็นตาย หนำซ้ำเจ้ายังใส่ความซานหลางของข้า คนเช่นเจ้าสมควรเข้าไปอยู่ในคุกซะ! เจ้าว่าเจ้าไม่กลัวสิ่งใดใช่หรือไม่?! เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งความที่ฝ่ายบริหารมณฑลในวันพรุ่งนี้!”
แรงตบที่รุนแรงเสียจนใบหน้าซีกซ้ายปวดแปลบ ประกอบกับประโยคจากปากหยุนลี่เซียว แม้ไม่อาจล่วงรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ทว่ากลับสร้างความตื่นตระหนกให้แก่หยุนชิ่วเอ๋ออย่างใหญ่หลวง!
“โอ้…” หยุนชิ่วเอ๋อทรุดกายลงนั่งกองกับพื้นบ้าน ฝ่ามือตบตีต้นขาของตนราวคนเสียสติพลางแผดเสียงร้องคร่ำครวญอย่างน่าสมเพช “ข้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่… ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกสาวผู้นี้ทำผิดไปแล้ว… พี่สะใภ้ใหญ่ยังไม่ตายมิใช่หรือ? หมอก็เชิญแล้ว… ยาก็คอยป้อนไม่ได้ขาด จะกล่าวโทษข้าได้อย่างไร? ไอ้เด็กซานหลางนั่นเอาเรื่องเท็จไปป่าวประกาศ คนทั้งหมู่บ้านล้วนรังเกียจเดียดฉันท์ข้า หากข่าวลือแพร่กระจายออกไปแล้วข้าจะแต่งงานเข้าตระกูลใหญ่ได้อย่างไรกัน?!”
หยุนชิ่วเอ๋อร้องไห้คร่ำครวญต่อไปไม่หยุดหย่อน ส่วนหยุนลี่เซียวเอาแต่กอดอกพร้อมเย้ยหยันซ้ำเติม “ช่างฝันเฟื่องเสียนี่กระไร! เรื่องราวเลยเถิดมาจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่ล้มเลิกความคิดจะตบแต่งเข้าตระกูลใหญ่มากยศถาบรรดาศักดิ์อีกรึ? ฮึ่ม! เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านต้องการให้เจ้ามาเป็นลูกสะใภ้แม้ตระกูลเดียว! เห็นทีคงต้องโดดเดี่ยวเป็นสาวทึนทึกไปตราบสิ้นอายุขัย!”
“ท่านแม่! ท่านแม่…” หยุนชิ่วเอ๋อร้องตะโกนเรียกแม่เฒ่าจูอย่างบ้าคลั่งด้วยหวังว่าผู้เป็นแม่จะออกมาปกป้องตน
ทว่าภายในห้องของผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจูกลับไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใด ๆ ให้ได้ยิน
ครั้นแม่เฒ่าจูเห็นสีหน้าเครียดขึ้งจนใบหน้าหม่นคล้ำเป็นสีม่วงอมเขียวของผู้เฒ่าหยุน ริมฝีปากหนามืดมนเป็นสีเดียวกลับเหล็กกล้าและสั่นระริกด้วยความคับข้องใจ หน้าอกหอบถี่ไม่เป็นจังหวะ ลักษณะเช่นนี้บ่งบอกว่าครั้งนี้เขาโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ แม่เฒ่าจูจึงนิ่งเงียบไม่ปริปากเพราะไม่กล้าเติมเชื้อเข้าไปในกองเพลิง
แม่นางจ้าวยังนอนเหยียดตรงแข็งทื่ออยู่บนเตียงโดยไร้การตอบสนอง ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าเป็นหรือตาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเห็นที่ตระกูลหยุนต้องถึงคราวขึ้นศาลและเป็นจำเลยในการฟ้องร้องอย่างไม่ต้องสงสัย
อายุของแม่เฒ่าจูล่วงเข้าสู่บั้นปลายชีวิตเต็มที นางไม่เคยต้องจัดการเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกและกระทำสิ่งใดไม่ถูก
ด้านนอกห้อง เสียงทะเลาะวิวาทและเสียงคร่ำครวญหวนไห้ยังคงดังแว่วมาให้ได้ยินอยู่เนือง ๆ
แม่เฒ่าจูหันหลังให้เสียงอึกทึกนั้นก่อนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงและหลับตาสนิท พยายามทำหูทวนลมไม่ได้ยินสรรพเสียงใดทั้งสิ้น
กระทั่งเวลาผ่านไปนานพอควร
“เฮ้อ…” ผู้เฒ่าหยุนสวมรองเท้าผ้าและเดินออกมาจากห้องพลางถอนหายใจยาว
“ท่านพ่อ! พี่สามลงไม้ลงมือกับข้า! เขาข่มขู่ข้าว่าจะเอาความเรื่องข้าไปฟ้องที่สำนักงานบริหาร!” หยุนชิ่วเอ๋อฟ้องร้องผู้เฒ่าหยุนขณะที่น้ำตานองอาบสองแก้ม น้ำมูกไหลย้อยอย่างสิ้นสภาพ ใบหน้าซีกซ้ายบวมปูดจากแรงตบเมื่อครู่
ริมฝีปากหยุนลี่เซียวกระตุกแรง สองขาของเขาสั่นเทาประหนึ่งเจ้าเข้าไม่แพ้กัน “นางไล่ทุบตีซานหลางจนต้องหนีเตลิดออกจากบ้านไป เวลานี้ก็จวนพลบค่ำเต็มที ลูกชายข้ายังเยาว์นัก ป่านนี้จะต้องเผชิญกับอันตรายใดบ้างไม่อาจล่วงรู้…”
ส่วนแม่นางเฉินซึ่งไม่ยินดียินร้ายกับสถานการณ์ใดในบ้านด้วยจดจ่ออยู่เพียงการดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญเท่านั้น ทันทีที่ได้ยินเสียงหยุนลี่เซียวร้องคร่ำครวญแว่วมาจึงหยุดการก่อไฟทำอาหารและวิ่งกระหืดกระหอบจากห้องครัวและแสร้งทรุดกายลงกลิ้งเกลือกแทบเท้าผู้เฒ่าหยุนทันที
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ… ซานหลางก็เป็นหลานชายคนหนึ่งของท่าน ท่านต้องปกป้องคุ้มครองเขาด้วย โธ่… ซานหลางผู้น่าสงสารของแม่”
“ไอ้เด็กคนนั้นไม่ได้พิการเสียหน่อย! หากไม่รู้จะพเนจรไปที่ใดก็ยังมีสองขาก้าวเดินไปขอความช่วยเหลือ…” หยุนชิ่วเอ๋อปาดน้ำตา “อีกอย่าง มันยังไม่ตายตกไปเสียหน่อย พวกท่านจะร้องไห้อาวรณ์ไปด้วยเหตุใดกัน?!”
หยุนชิ่วเอ๋อยังรู้สึกโกรธแค้นไม่คลาย เด็กซานหลางเอาเรื่องเสียหายไปโพนทะนาเสียทั่วทั้งหมู่บ้าน ต่อจากนี้ตนจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดได้อีก?
ซานหลางไม่ได้ถูกตบอย่างไร้เหตุผล หนำซ้ำยังลอยตัวยิ่งกว่าตนเสียอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะโทษว่าเป็นความผิดของหยุนชิ่วเอ๋อได้อย่างไร?!
“หยุดเพ้อเจ้อเสียที! เจ้าจะหวาดกลัวไปไย? หรือข่าวลือน่ารังเกียจเหล่านั้นเจ้าเป็นคนทำจริงอย่างนั้นรึ?!” นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าหยุนไม่ปกป้องหยุนชิ่วเอ๋อ ทั้งยังโกรธเคืองเรื่องที่จะถูกฟ้องร้องเอาความจนชื่อเสียงของตระกูลป่นปี้
หยุนชิ่วเอ๋อผงะไปครู่ใหญ่ด้วยความตกตะลึงก่อนร้องไห้คร่ำครวญอีกครั้ง “ท่านพ่อ…”
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!” ผู้เฒ่าหยุนแค่นเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
“ท่านแม่… ท่านแม่… ลูกชายคนสุดท้องของท่านใส่ความข้า ลูกชายคนสุดท้องของท่านทุบตีข้าโดยไร้เหตุผล!” หยุนชิ่วเอ๋อล้มตัวลงนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นพลางเตะขาดิ้นพล่าน
“ลุกขึ้น! เข้าไปในห้องซะ!” ผู้เฒ่าหยุนขบกรามแน่น
“ท่านแม่! ฮือ…ฮือ…” หยุนชิ่วเอ๋อร้องไห้สะอึกสะอื้นสลับกลับกรีดร้องด้วยต้องการสร้างปัญหาให้ถึงที่สุด
นางไม่มีทางยอมอ่อนข้อเด็ดขาด หากยอมหนึ่งครั้งแล้วย่อมหมายความว่ามีครั้งต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย และในอนาคตไม่แน่ว่านางอาจถูกหยุนลี่เซียวกดขี่ไปชั่วชีวิต ตราบใดที่ตนก่อเรื่องแน่นอนว่าแม่เฒ่าจูจะต้องออกมาปกป้องเฉกเช่นทุกคราวที่ผ่านมา
ทว่าครั้งนี้แตกต่างออกไป…
ยังไม่ทันที่แม่เฒ่าจูจะออกจากห้องมาให้ท้ายหยุนชิ่วเอ๋อ ผู้เฒ่าหยุนกลับเงื้อฝ่ามือขึ้นและฟาดลงไปสุดแรง “เผียะ!”
ผู้เฒ่าหยุนโบกฝ่ามือซึ่งสั่นสะท้านเพราะความโกรธ เวลานี้คนโง่ไม่ได้มีเพียงหยุนชิ่วเอ๋อ ทว่าคนในบ้านล้วนเบาปัญญากันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหยุนลี่เซียว แม่นางเฉิน หรือแม้แต่หยุนลี่จงซึ่งเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้อง หยุนเชวี่ยซึ่งหมอบราบอยู่ในห้องเฝ้าดูตลกร้ายของตระกูลนี้ด้วยความหฤหรรษ์ยิ่ง