ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน - ตอนที่ 2 อายุยืนหมื่นปี
ตอนที่ 2 อายุยืนหมื่นปี
สีหน้าของผู้เฒ่าหยุนบึ้งตึง สองมือไพล่หลัง เอวตั้งตรง สายตาจับจ้องไปที่หยุนเชวี่ยอย่างไม่พอใจ “ยังอับอายผู้คนไม่พออีกรึ ข้ายังไม่ตาย ใช่เวลาที่เด็กสาวเช่นเจ้าต้องออกหน้าหรือ?”
ถ้อยคำตำหนิค่อนข้างรุนแรง แต่หยุนเชวี่ยทำทีคล้ายไม่ได้ยิน ในใจเรียนรู้ท่าทางสองมือเท้าสะเอวแบบเหอยาโถว แสดงอาการต่อต้านอย่างเงียบ ๆ
‘ยังไม่ตายงั้นหรือ? หึ แต่ละคนทำตัวราวกับลูกเต่าหัวหด เช่นนี้ย่อมอายุยืนถึงหมื่นปีแน่’
“ท่านพ่อกล่าวมีเหตุผล” หยุนลี่เซี่ยวที่มองดูเรื่องสนุกอยู่ครู่ใหญ่ เดินเข้าไปหาชายชราด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบูด ก่อนจะเหลือบมองหยุนเชวี่ยและฉีกยิ้มมุมปาก “อาสามยังไม่ทันได้ช่วยร้องขอความเป็นธรรม เจ้าก็แสดงความสามารถออกมาเสียแล้ว”
หยุนเชวี่ยเบื่อหน่ายเกินกว่าจะลดตัวไปสนทนากับคนไร้ยางอายผู้นี้ จึงได้แต่กลอกตาไปมา
หยุนลี่เซี่ยวรู้สึกราวกับถูกเหยียบหาง เขาตะโกนด่าทันที “เฮ้! นังเด็กเมื่อวานซืน กล้าดีอย่างไรจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้!”
ขณะเดิน ปากก็พ่นคำด่าออกมา พร้อมกับง้างมือขึ้นหมายจะฟาดลงที่หน้าของหยุนเชวี่ย
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี หยุนเชวี่ยจึงทำทีเป็นหมอบเหมือนแมวโค้งตัว หลบไปทางด้านหลังชายฉกรรจ์กำยำสองคนที่ยืนทะมึนอยู่
อาสามเกือบพลั้งมือโดนชายร่างใหญ่ คนผู้นั้นคว้าแขนของเขาไว้ สีหน้าเหี้ยมเกรียม หางตากระตุก ทำเอาท่าทางอวดดีของอาสามชะงักทันควัน ได้แต่ยืนใบ้กินอยู่อย่างนั้น
“อย่าหาว่าข้าตำหนิท่านเลยพี่รอง ท่านอบรมสั่งสอนลูกสาวเยี่ยงนี้หรือ? หากเป็นลูกสาวข้า จะตีให้หนักเลยเชียว!” หยุนลี่เซี่ยวเดินเข้าไปถามหยุนลี่เต๋อที่ยังถูกจับตัวไว้
“ท่านพ่อ…” หยุนเชวี่ยเบะปาก นางร้องเรียกผู้เป็นพ่อด้วยความคับข้องใจ
น้ำเสียงเล็ก ๆ อันสั่นเครือของเด็กน้อย เสียดแทงเข้าไปกลางใจผู้ที่ได้ยิน
หยุนลี่เต๋อเปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขัง ชั่วอึดใจหนึ่งก็กล่าวออกมาอย่างหนักแน่น “เชวี่ยเอ๋อเป็นลูกสาวของข้า ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องยุ่ง”
หยุนลี่เซี่ยวเผยสีหน้าไม่พอใจทันที่ได้ยิน
ส่วนหยุนเชวี่ยลอบถอนหายใจ พ่องี่เง่าของนางช่างจิตใจดีเหลือเกิน ลูกสาวเกือบถูกคนทุบตี แม้แต่คำพูดรุนแรงก็ยังไม่สามารถกล่าวออกมาได้ ไม่รู้ว่าผ่านสมรภูมิสงครามมาได้อย่างไร…
“โอ้ พี่รอง ดูคำพูดคำจาท่านสิ ตราบใดที่เชวี่ยเอ๋อเป็นคนสกุลหยุน พวกเราผู้อาวุโสต้องอบรมสั่งสอนนาง นั่นจึงจะถูกต้องมิใช่หรือ?” อาสะใภ้สามเฉินพูดกระพือไฟ ราวกับกลัวว่าโลกนี้จะวุ่นวายโกลาหลไม่พอ
“ท่านแม่!” หยุนเหรินชำเลืองมองมารดา ก่อนจะส่ายหัวเพื่อไม่ให้นางก่อปัญหาเพิ่ม
ทั้งที่อยู่ต่อหน้าคนนอก สมาชิกในครอบครัวของเขาก็ทะเลาะกันเองเสียแล้ว ชายชราสีหน้ามืดครึ้ม ส่งเสียงดังแหบห้าว “หุบปาก!”
ผู้เฒ่าหยุนนั้นเหมือนกับชาวนาที่ร่างกายแข็งแรงทั่วไป ผิวคล้ำหยาบกร้าน แม้จะอายุมากกว่าครึ่งร้อยแล้วแต่ยังเสียงดังกังวาลราวกับระฆัง
อาสะใภ้สามลอบแสยะยิ้ม ไม่ส่งเสียงใดออก
“เข้าไปในบ้านให้หมด มีอะไรก็เข้าไปคุยกันข้างใน อย่ารบกวนผู้อื่น” วาจานี้ช่วยให้สถานการณ์คลี่ลายลงไปได้บ้าง และยังเห็นได้ชัดว่ากระทบไปถึงกลุ่มคนที่มายืนมุงอยู่ใกล้ประตู
หมู่บ้านไป๋ซีถึงแม้ตั้งอยู่ตรงเนินเขา แต่ก็มีชาวบ้านหลายสิบครัวเรือนอาศัยอยู่ กิจกรรมฆ่าเวลาโดยปกติหลังทานอาหารหรือดื่มชาคือการสอดส่องเรื่องราวต่าง ๆ ของแต่ละบ้าน
เสียงเอะอะโวยวายหน้าบ้านตระกูลหยุน รังแต่จะทำให้ผู้คนคอยื่นยาวเข้ามาดูชมเรื่องสนุกครึกครื้น ชายชราถอนหายใจอย่างแรงพร้อมกับโบกมือ “แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
“ได้… เห็นแก่หน้าท่านผู้เฒ่า” หัวหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์กล่าวพร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะผลักหยุนลี่เต๋อเข้าไปข้างใน
ประตูใหญ่ถูกปิดอย่างแน่นหนาอีกครั้ง
หยุนลี่เซี่ยวปากยังคงสบถสาปแช่ง โดยไม่รู้ว่ากำลังบ่นอะไร ในขณะที่เปาจื่อเลิกร้องไห้แล้ว เปลี่ยนเป็นดึงโน่นดึงนี่ไปมา
หยุนเชวี่ยช้อนสายตาขึ้นมองเห็นหยุนเซินยืนอยู่ไกล ๆ ใต้กองฟืน จึงยื่นมือออกไปกวักเรียก “เสี่ยวอู่ มานี่”
ดวงตาของหยุนเซินยังคงดำขลับและสงบนิ่ง คล้ายกับว่าไม่เคยถูกรบกวนจากโลกภายนอก เขาเดินไปอยู่ข้างกายหยุนเชวี่ยและจับนิ้วชี้ของนางเล่นไปโดยไม่พูดไม่จา
ผู้เฒ่าเชิญคนไปที่ห้องโถงและกล่าวอย่างสุภาพอยู่สองสามคำ ก่อนจะตะโกนไปข้างนอก “สะใภ้สาม มารินชาให้แขกที”
“ชีวิตข้าลำบากยิ่งนัก ทั้งวันถูกเรียกให้ทำนู่นทำนี่” สะใภ้สามชำเลืองมองแม่นางเหลียนปากบ่นพึมพำ “คนหนึ่งเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ อีกคนก็ทำราวกับมือเป็นทองคำไม่เคยหยิบจับสิ่งใด คิดว่าตนเองเป็นภรรยาขุนนางกันหรืออย่างไร”
คนที่เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญคือแม่นางเหลียน ส่วนคนที่สิบนิ้วไม่เคยตรากตรำคือสะใภ้ใหญ่ แม่นางจ้าว!
พี่ใหญ่หยุนลี่จงเป็นบัณฑิตชื่อดัง แม่นางจ้าวจึงเป็นภรรยาของบัณฑิต ย่อมหยิ่งผยองถือตนว่าสูงส่งกว่าผู้อื่น งานหนักจำพวกให้อาหารหมู ตั้งเตาทำอาหาร นางไม่มีทางแตะต้องแน่นอน
ด้วยเหตุฉะนี้ สะใภ้สามที่เก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจมานาน ได้แต่หวังให้หยุนลี่จงก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นางจะได้รับความสุขสบายไปด้วย จึงไม่เคยเอ่ยวาจาระคายหูต่อหน้าของสะใภ้ใหญ่จ้าว
“ลุงใหญ่ล่ะ?” หยุนเชวี่ยสังเกตได้ถึงความผิดปกติ
ท่านผู้เฒ่าเห็นความสำคัญของหยุนลี่จง ปกติเรื่องใหญ่เรื่องเล็กภายในบ้านมักจะปรึกษาเขาเสมอ แต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
เสี่ยวอู่ยังคงแสดงสีหน้าไร้อารมณ์ ชี้ไปทางห้องฝั่งตะวันออก… ที่ประตูหน้าต่างปิดสนิท
“ซ่อนอยู่รึ?”
เสี่ยวอู่พยักหน้ารับ
หยุนเชวี่ยหลุบเปลือกตาลง ทันใดนั้นจึงฉุกคิดได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ประจวบเหมาะกับที่เห็นอาสะใภ้สามทำหน้าบึ้งไม่เต็มใจตักน้ำในถัง จึงพาเสี่ยวอู่เดินเข้าไปหา
“อาสะใภ้สาม ข้าทำเอง ท่านไปพักผ่อนเถิด”
“โอ้ เชวี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นเด็กดียิ่งนัก อย่างนั้นรบกวนเจ้าด้วย” หลังกล่าวจบนางก็ย้ายสะโพกใหญ่ ๆ ของตนแล้วยัดกระบวยใส่มือของหยุนเชวี่ยก่อนจะกล่าวทิ้งท้าย “แต่อย่าลืมเติมน้ำให้เต็มโอ่งด้วยล่ะ” แล้วรีบเดินตัวปลิวออกไปราวกับนกนางแอ่น
“…” เสี่ยวอู่มองโอ่งใส่น้ำที่ความสูงเท่าตัวเองอย่างกังวลใจ แล้วบีบปลายนิ้วของหยุนเชวี่ยเงียบ ๆ
“อย่าไปสนใจนางเลย” หยุนเชวี่ยโน้มตัวไปตักน้ำสองกระบวยใส่หม้อ ก่อนจะพูดกับเสี่ยวอู่ “ช่วยเอาถ้วยชาให้พี่สาวที”
ชาวนาในชนบทมิได้มีพิธีรีตองมากมาย ‘ชา’ ที่เรียกกัน ความจริงเป็นแค่ใบไผ่อ่อน ในหน้าร้อนไม่จำเป็นต้องต้มน้ำ เพียงแช่ชาไว้สักครู่ เมื่อตักออกมาก็รับรู้ถึงกลิ่นหอมสดชื่น
เสี่ยวอู่นำถ้วยชามาจัดเรียงเป็นแถว หยุนเชวี่ยถือกาเพื่อรินชา หางตาปราดมองแวบหนึ่งก็เห็นหลักฐานการกู้ยืมเงินวางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นมองเลยไปที่หน้าของชายชราที่ดำทะมึนยิ่งกว่าก้นหม้อ ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟัน “เหตุใดถึงเยอะเพียงนี้?”
“เป็นไปตามกฏ” ชายหน้าดุนั่งอ้าขาตามสบาย หยิบลูกคิดขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากอ้อมแขน เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง ปากก็กล่าวพึมพำ “เงินห้าสิบตำลึง คืนเก้าในสิบสาม ดอกเบี้ยอีกสามเดือน…”
หยุนเชวี่ยหนังตากระตุก ดอกเบี้ยขูดเลือดถึงเพียงนี้!
“ทั้งต้นและดอก รวมเป็นหนึ่งร้อยสิบสองตำลึง… หรือสิบสองชั่ง!” ชายผู้นั้นดันลูกคิดไปด้านหน้า “บ่อนพนันของนายท่านเฉิงเต๋อปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างซื่อสัตย์เสมอ”
“…” ชายชราอ้าปากพะงาบ ๆ โดยไม่เปล่งเสียงอันใด สองแก้มด้านข้างสั่นระริก
ชายหน้าดำมิได้มีท่าทีเร่งเร้าร้อนใจ เขาดื่มชาหนึ่งอึก พลางหรี่ตาลงและค่อย ๆ หมุนถ้วยชา รอบที่หนึ่ง รอบที่สอง รอบที่สาม…
หยุนลี่เต๋อไหล่กว้างและร่างกายแข็งแรง มองจากด้านข้าง เขาดูคล้ายกับหมีใหญ่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าหยุนไอออกมาอย่างขัดจังหวะ เขาพยายามเจรจาต่อรอง “ในบ้านตอนนี้ไม่ได้มีเงินมากมายอะไร พอจะให้ยืดเวลาผ่อนผันไปก่อนได้หรือไม่…”
ทันทีที่ได้ยินวาจาจากปากชายชรา หยุนลี่เซี่ยวที่ยืนชะเง้ออยู่ตรงประตูก็ทั้งโมโหทั้งผิดหวัง กระโจนเข้ามาในห้อง ดวงตาเบิกกว้างเสียยิ่งกว่าวัว “อะไรนะ? ท่านพ่อจะใช้หนี้แทนเขาหรือ?!”
“หนังสือกู้ยืมนั้นข้าไม่ได้เขียน!” หยุนลี่เต๋อรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงโต้แย้งออกมาเสียงแข็ง