ทะลุมิติไปเป็นหญิงพาลผู้งามเลิศประจำหมู่บ้าน - บทที่ 18 หวังเฟิ่งออกเงินทั้งหมด
บทที่ 18 หวังเฟิ่งออกเงินทั้งหมด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเฟิ่งจึงรีบดึงหลี่หรงหรงมาทันทีพลางพูดขึ้น “เจ้าโง่หรือไร ต้องให้หลี่เยว่หานมีชีวิตอยู่ถึงจะดี! อย่างไรนางก็ยังมีร่างกายสมบูรณ์อยู่ ส่งตัวนางไปใช้หนี้พวกคนอันธพาลกลุ่มนี้ก็พอแล้ว! ถ้าหากหลี่เยว่หานตายแล้วจริง ๆ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะต้องช่วยชดใช้หนี้ครั้งนี้แทนนางก็เป็นได้!”
“แต่…เพียงแค่ดูก็รู้แล้วว่าหลี่เยว่หานใกล้จะตายเต็มทนแล้ว พวกเขาจะยอมหรือ?” หลี่หรงหรงอดยอมรับไม่ได้ว่าสิ่งที่ท่านแม่พูดออกมานั้นมีเหตุผลมากพอ แต่ก็ยังรู้สึกกังวลอยู่
“เจ้าฟังสิ่งที่แม่พูดนะ” หวังเฟิ่งดึงตัวหลี่หรงหรงมาและกระซิบเบา ๆ “แม่เคยได้ยินมาว่า ในโลกนี้ ยังมีคนประเภทที่ชอบซากศพของหญิงสาวอยู่ เมื่อครู่เห็นหัวหน้าที่มีรูปร่างสูงโปร่งปิดบังใบหน้าไว้นั้น รู้สึกว่าเขาชั่วร้ายยิ่งนัก!”
“และยิ่งเมื่อวานหลี่เยว่หานก็ยังมีชีวิตปกติอยู่ จะบอกว่าตายง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร บางทีไม่แน่ว่าพวกเขากำลังทำเรื่องแปลกประหลาดอะไรอยู่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเฟิ่ง หลี่หรงหรงจึงรู้สึกเย็นวาบที่กระดูกสันหลังขึ้นมา หญิงสาวอดกระแอมออกมาไม่ได้ “ท่านแม่ ท่านหมายความว่า ที่หลี่เยว่หานใกล้ตายเช่นนี้ อาจเป็นฝีมือของหัวหน้าคนกลุ่มนั้น?”
“แม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น” หวังเฟิ่งหยักหน้า “เพียงแต่ไม่รู้ว่านางนั่นไปยืมเงินมามากมายเช่นนี้ไปใช้ที่ใดกัน! พวกเรารีบส่งนางออกไปเสียก่อนเถิด จากนั้นจึงค่อยค้นห้องของนาง ไม่แน่ว่าอาจจะพบเงินที่นางหยิบยืมมาก็เป็นได้!”
หลี่หรงหรงฟังคำพูดของหวังเฟิ่งก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้ารับทันทีพลางพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านแม่ ข้าจะออกไปก่อน!”
“ดี จำไว้ว่าแสดงให้แนบเนียนเสียหน่อย!” หวังเฟิ่งย้ำเตือน
หลี่หรงหรงพยักหน้ารับ ลุกขึ้นและเปิดประตูห้องออกไป ก่อนที่นางจะรีบวิ่งไปหาหลี่ต้าเฉิงที่กำลังร้องขอชีวิตกับเมิ่งฉีฮ่วนอยู่ในสวน ด้วยใบที่หน้าอาบไปด้วยคราบน้ำตาพลางพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่! ท่านพี่หายใจแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่เพียงแต่หลี่ต้าเฉิง แม้แต่ผู้คนที่ดูเรื่องสนุกอยู่รอบ ๆ ต่างก็ตกตะลึงขึ้นมา
เมื่อครู่พูดว่าร่างกายเย็นเฉียบไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้จึงมีลมหายใจอีกครั้งเสียแล้ว?
“หญิงอัปลักษณ์ เจ้ากับแม่ของเจ้าเสียสติไปแล้วหรือ?” ชายหน้าบากเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา “เมื่อครู่แม่ของเจ้าบอกว่าร่างกายเย็นเฉียบแล้ว ตอนนี้กลับบอกว่าหายใจแล้ว?”
“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ” หลี่หรงหรงพูดพลางร้องไห้สะอื้น “พี่สาวเสียสติ เดิมทีก็มักจะเจ็บป่วยฉับพลันขึ้นมาได้ง่าย ท่านพ่อกับท่านแม่กังวลเรื่องพี่สาวอยู่ตลอด ตอนรุ่งเช้าก่อนที่พวกเราเดินทางออกจากบ้านจึงได้ให้นางดื่มน้ำแกงโสมเข้าไป อาจเป็นเพราะน้ำแกงที่ปลิดชีวิตของนางก็ได้! ท่านพ่อ! ท่านพี่ยังมีลมหายใจอยู่!”
หลี่ต้าเฉิงตกตะลึงขึ้นมาทันที
น้ำแกงโสม? ครอบครัวพวกเขาจะมีเงินไปซื้อน้ำแกงโสมมาได้อย่างไรกัน?
ตอนรุ่งเช้าที่เดินทางออกจากบ้านไปนั้น หลี่เยว่หานกำลังนอนหลับอยู่ จะให้นางดื่มน้ำแกงโสมได้อย่างไรกัน?
“หน้าบาก” เมิ่งฉีฮ่วนพูดน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ไปดูซะ”
“ได้เลย พี่ใหญ่!”
ชายหน้าบากรับคำสั่ง จึงเดินเข้าไปภายในห้องของหลี่เยว่หานโดยไม่สนใจอันใดอีก
ออกแรงใช้เท้าเขี่ยหวังเฟิ่งให้หลบไปอีกด้าน ก่อนจะก้มตัวลงเอามือไปอังจมูกของหลี่เยว่หานและรีบวิ่งไปยังประตูห้องพลางพูดขึ้นมาทันที “ลูกพี่ ยังมีลมหายใจจริง ๆ แต่ดูเหมือนจะใกล้ตายแล้ว!”
เมิ่งฉีฮ่วนพยักหน้ารับ จากนั้นจึงมองไปยังหลี่ต้าเฉิง “บุตรสาวของเจ้าใกล้หมดลมหายใจแล้ว”
หลี่ต้าเฉิงตัวสั่นงกงันไม่กล้าพูดใด ๆ
“แต่บุตรสาวของเจ้าติดหนี้ข้าเจ็ดสิบตำลึง ในฐานะที่เจ้าเป็นพ่อ ควรจะชดใช้หนี้แทนนางมิใช่หรือ?” เมิ่งฉีฮ่วนพูดจบ จึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พร้อมกับบรรดาน้องชายที่เดินติดตามมาด้านหลังโดยไม่ปริปากพูดใด ๆ
ถึงแม้หลี่ต้าเฉิงจะห่วงภาพลักษณ์ของตน แต่เขาใจไม่กล้าพอจึงไม่มีความคิดเห็นใด ๆ
และในตอนนี้ที่เขาถูกเมิ่งฉีฮ่วนและคนอื่น ๆ ข่มขู่จนหวาดกลัวเช่นนี้ เขายิ่งไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
ยังโชคดีที่หวังเฟิ่งวิ่งเข้ามาทันเวลาพอดี คุกเข่าลงตรงหน้าเมิ่งฉีฮ่วนพลางร้องขอขึ้นมา “พ่อพระมาโปรด! พวกท่านจิตใจกว้างยิ่งนัก ท่านดูนั่น เยว่หานยังมีชีวิตอยู่ นางนับเป็นหญิงสาวจิตใจดีที่สุดในหมู่บ้านของเรา นางมีค่าถึงเจ็ดสิบตำลึงแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนจึงหัวเราะออกมา “ใกล้ตายเช่นนี้ยังมีค่าถึงเจ็ดสิบตำลึงหรือ?”
หวังเฟิ่งรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
“หากพวกเจ้าไม่คิดคืนเงินนั้นย่อมได้” เมิ่งฉีฮ่วนพูดขึ้นมาอีกครั้ง “หรือจะใช้บ้านของพวกเจ้าชดใช้หนี้แทนเสีย ข้าก็จะรับไว้”
“นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” หวังเฟิ่งรีบคำนับลงพื้นดินอย่างรวดเร็ว “ถ้าหากพวกท่านยึดบ้านของพวกเราไป ครอบครัวเราจะไปอยู่ที่ใดกัน!”
“นั่นเป็นเรื่องที่ข้าต้องคิดด้วยหรือ?” เมิ่งฉีฮ่วนพูดอย่างไม่แยแส “คนที่ติดหนี้ข้าคือคนของพวกเจ้า นางใกล้จะตายแล้ว พวกเจ้าก็คิดที่จะไม่จ่ายหนี้หรือ?”
“พวกเราจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน…”
“ไม่กล้าก็ดี” หวังเฟิ่งพูดยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งฉีฮ่วนพูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งวันในการย้ายออกไปจากที่นี่”
เมื่อเห็นท่าทางการพูดอย่างแน่วแน่ของเมิ่งฉีฮ่วนแล้ว หวังเฟิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีที่มาที่ไปอย่างไร จึงไม่กล้าที่จะทำให้ขุ่นเคืองใจนัก แต่นางก็ไม่สามารถนำบ้านไปใช้หนี้แทนหลี่เยว่หานได้เช่นกัน
นางกรอกลูกตาไปมา ก่อนจะคิดแผนการบางอย่างออก “ท่านทำเช่นนี้ได้หรือไม่ ในเมื่อเยว่หานยังไม่ตาย ท่านนำตัวนางไป และครอบครัวเราจะมอบเงินให้นางอีกเล็กน้อย ก็เท่ากับเป็นการชดใช้หนี้นี้แล้ว?”
“เจ้าฝันไปเถิด” เมิ่งฉีฮ่วนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลี่เยว่หานและบ้านของพวกเจ้า ข้าต้องการมันทั้งหมด”
“นายท่าน! ท่านคิดให้ดี ๆ เถิด!” หวังเฟิ่งร้องไห้พลางคุกเข่าลงตรงหน้า กอดขาของเมิ่งฉีฮ่วนไว้ ทั้งน้ำมูกและน้ำตาไหลอาบแก้มพลางพูดขึ้นมา “ถ้าหากครอบครัวของเราไม่มีบ้านหลังนี้ ก็อาจจะต้องไปเป็นขอทานได้! หลี่เยว่หานไม่ใช่ลูกสาวของข้า ท่านไม่ควรทำให้ข้าต้องกลายเป็นขอทานเพราะบุตรสาวของหญิงอื่น!”
จนถึงตอนนี้ ภาพลักษณ์ของแม่ที่เต็มไปด้วยความรักที่หวังเฟิ่งสร้างขึ้นมานั้น ถูกทำลายลงในพริบตาเดียวด้วยฝีมือของตนเอง
ถึงแม้ว่าคนในหมู่บ้านเฮยถู่จะรู้ว่าหวังเฟิ่งไม่ได้ดีกับหลี่เยว่หานมากนัก แต่เมื่อได้ยินหวังเฟิ่งพูดเช่นนี้ด้วยหูของตัวเองแล้ว ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเช่นกัน
“หวังเฟิ่ง! ถึงอย่างไร เยว่หานก็ปรนนิบัติเจ้ามานานหลายปี เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายใจดำอำมหิตเช่นนี้ได้!”
“เดิมก็รู้สึกว่าเจ้าไม่ได้เลี้ยงดูเยว่หานดีนัก แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ได้ไล่นางออกจากบ้านไป คิดไม่ถึงว่าในที่สุดวันนี้จะพูดเช่นนี้ออกมาได้!”
แม้แต่หลี่ต้าเฉิงยังชะงักไปครู่หนึ่ง “หวังเฟิ่ง เจ้าพูดสิ่งใดกัน? นั่นคือเยว่หาน! นางเป็นลูกสาวของข้า!”
เมื่อได้ยินเสียงของหลี่ต้าเฉิง หวังเฟิ่งจึงหันมาพูดด้วยความโมโห “หลี่เยว่หานเป็นตัวซวย! เป็นเพราะนางทำให้แม่ของนางตาย! ข้าไม่สบายใจที่จะอยู่กับนางมานานแล้ว! ข้าอดไม่ได้ที่จะอยากให้นางตายไปเร็ว ๆ ซะ!”
เมื่อสิ้นเสียง นางก็ถูกเมิ่งฉีฮ่วนใช้เท้าเตะจนทรุดลงกับพื้น “ในเมื่อเจ้าไม่อยากเลี้ยงดูบุตรสาวของหญิงอื่นนั้น ก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเฟิ่งจึงได้สติขึ้นมาทันที รีบโน้มตัวคำนับลงกับพื้น “ขอบคุณนายท่านมาก! ขอบคุณนายท่านมาก!”
“แต่เมื่อครู่เจ้าพูดออกมาแล้วว่าจะมอบหลี่เยว่หานให้ข้าและเงินอีกเล็กน้อย เป็นการชดใช้หนี้ใช่หรือไม่” เมิ่งฉีฮ่วนพูดอย่างมีความชั่วร้ายแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น “ข้าตกลง เงินห้าตำลึงพร้อมกับเปลี่ยนชุดใหม่ที่ไม่เคยสวมใส่มาก่อนให้นาง แล้วข้าจะพานางไป”
“ได้ ๆๆ” หวังเฟิ่งได้ยินเช่นนั้น จึงรีบชันกายลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปในห้องทันที
ขณะที่หลี่ต้าเฉิงกำลังมองอย่างเหลือเชื่ออยู่นั้น นางจึงนำเงินห้าตำลึงออกมา
และไปยังห้องของหลี่หรงหรง นำชุดใหม่ที่พึ่งเย็บเสร็จของหลี่หรงหรงออกมา วิ่งไปภายในห้องของหลี่เยว่หาน หลังจากเปลี่ยนชุดใหม่ให้หลี่เยว่หานที่ยังไม่ได้สติเรียบร้อยแล้ว จึงแบกหลี่เยว่หานออกมาจากห้องพร้อมกับหลี่หรงหรง
“หวังเฟิ่ง…พวกเรานำเงินมากมายเช่นนั้นมาจากที่ใดกัน…” หลี่ต้าเฉิงพึมพำออกมา
“ท่านหุบปากไปซะ!” หวังเฟิ่งตะคอกเสียงดังออกมา ขมวดคิ้วพลางมองไปยังเมิ่งฉีฮ่วน “นายท่าน เช่นนี้ได้หรือไม่!”