ทะลุมิติไปเป็นหญิงพาลผู้งามเลิศประจำหมู่บ้าน - บทที่ 19 การทะเลาะของสองผัวเมีย
บทที่ 19 การทะเลาะของสองผัวเมีย
เมิ่งฉีฮ่วนไม่พูดอะไร เพียงนั่งลงอย่างเงียบ ๆ ตรงนั้น
จนกระทั่ง หวังเฟิ่งที่เหนื่อยจากการแบกหลี่เยว่หานออกมาจนเหงื่อท่วมไปทั่วทั้งร่างกาย เมื่อเขาเห็นว่านางกำลังจะคุกเข่าลงกับพื้นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนจึงโบกมือขึ้นมา “พอแล้ว พอแล้ว” พูดจบ เขาจึงก้าวออกไปด้านหน้าเพื่ออุ้มร่างไร้สติของหลี่เยว่หานมาจากหวังเฟิ่งไว้ในอ้อมกอดของตน จากนั้นจึงเดินออกไปด้านนอก
หลี่ต้าเฉิงคิดจะขวางทางไว้ แต่กลับถูกหวังเฟิ่งขัดไว้เสียก่อน
ชายหน้าบากจึงรีบฉกเงินในมือของหลี่หรงหรงมาทันที และหันไปสั่งพี่น้องด้านหลัง ให้เดินตามเมิ่งฉีฮ่วนออกจากบ้านครอบครัวหลี่ไป
ผู้คนที่เฝ้ามองดูอยู่รอบ ๆ บ้านครอบครัวหลี่นั้น กลับไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางเมิ่งฉีฮ่วนและกลุ่มคนที่เดินออกมาเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งฉีฮ่วนจึงออกไปจากหมู่บ้านเฮยถู่ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อถึงสถานที่ที่ไร้ผู้คน เมิ่งฉีฮ่วนหันไปมองชายหน้าบาก แม้ยังไม่ทันได้พูดอะไร ชายหน้าบากก็ยิ้มออกมาทันที “ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าเข้าใจแล้ว! พี่เมิ่ง ข้าจะไปแล้ว!” ชายหน้าบากพูดพลางเตรียมนำเงินมอบให้แก่เมิ่งฉีฮ่วน แต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธ
“ข้าบอกแล้วว่า วันนี้หากช่วยข้าแสดง เงินห้าตำลึงนี้มอบเป็นค่าเหนื่อยให้กับเจ้าและเหล่าพี่น้องแล้วกัน”
“พี่เมิ่ง พวกเราครอบครัวเดียวกัน! เหตุใดจึงต้องแบ่งแยกกันชัดเจนเพียงนี้!” ชายหน้าบากพยายามจะเอาใจเมิ่งฉีฮ่วน “หากจะพูดอีกครั้ง ถ้าไม่เป็นเพราะท่าน หัวหน้าของเราคงจะยังไม่ฟื้นขึ้นมา ท่านคือผู้มีพระคุณของพรรคมัจฉามังกรของเรา พวกเราจะรับเงินของผู้มีพระคุณได้เช่นไร!”
“ในเมื่อท่านบอกว่าเป็นคนในครอบครัว เช่นนั้นจงนำเงินนี้ไปซื้ออาหารบำรุงให้หลูซิงเถิด” เมิ่งฉีฮ่วนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เขาพึ่งฟื้นตัวจากอาการป่วย เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้เงิน”
เมื่อได้ยินเมิ่งฉีฮ่วนพูดเช่นนี้แล้ว ชายหน้าบากจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป หลังจากพร่ำขอบคุณ ชายหน้าบากก็เดินแยกออกไปอีกทาง
จนกระทั่งเงาของพวกเขาเดินลับสายตาไป เมิ่งฉีฮ่วนจึงเดินทางไปยังเส้นทางที่จะไปหมู่บ้านไป๋อวิ๋น
ชายหนุ่มมีพละกำลังเยอะมาก แม้จะอุ้มหลี่เยว่หานเดินไปตลอดเส้นทางเช่นนี้ แต่กลับไม่มีอาการหน้าแดงหรือหายใจเหนื่อยหอบ ยังคงก้าวเดินอย่างมั่นคงราวกับไม่ได้ออกแรงใด ๆ เลย
ขณะนั้นเอง หมู่บ้านเฮยถู่ครอบครัวหลี่
ความสนุกจบลง หลี่เยว่หานถูกพาตัวไปแล้ว ผู้คนที่ล้อมรอบบ้านครอบครัวหลี่อยู่นั้นต่างก็แยกย้ายกันออกไป
หลี่ต้าเฉิงทรุดตัวนั่งลงบนพื้นด้วยความหดหู่ใจ ราวกับไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้
หวังเฟิ่งเห็นท่าทางเสียขวัญของเขาแล้ว อย่างไรก็เป็นสามีของนาง นางจึงรู้สึกทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย จึงก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อปลอบใจ “ท่านพี่ พื้นมันเย็น ท่านลุกขึ้นเถิด”
“ครอบครัวเรา มีเงินมากเท่าไหร่กันแน่!” หลี่ต้าเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องในบ้านนัก เงินที่หามาได้ทุกบาททุกสตางค์นั้นล้วนมอบให้หวังเฟิ่ง
และหวังเฟิ่งก็คอยบอกหลี่ต้าเฉิงอยู่ตลอด การเงินที่บ้านนั้นไม่เพียงพอ และต้องฝืนใจกินข้าวไม่อิ่มท้อง
แต่วันนี้หวังเฟิ่งกลับยอมควักเงินห้าตำลึงออกมาโดยไม่แม้แต่กะพริบตา หลี่ต้าเฉิงจึงมองย้อนกลับไป สำหรับครอบครัวนี้แล้ว เขาแทบจะไม่เข้าใจเรื่องใดเลยแม้แต่น้อย!
“ไม่มากนัก” หวังเฟิ่งถอนหายใจออกมา ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดบังต่อไปก็ไร้ประโยชน์ “เงินเดือนทุกเดือนของท่านคือสามร้อยอีแปะ ถ้ารวมกับงานรับจ้างอีกประปราย เดือน ๆ หนึ่ง ท่านก็จะมีเงินเข้าบ้านห้าร้อยอีแปะ หนึ่งปีก็ราว ๆ หกตำลึง หากรวมกับการเก็บเกี่ยวบนที่นาและเงินจากการขายผัก จริง ๆ หนึ่งปีก็เก็บเงินได้ประมาณเจ็ดตำลึง”
“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงบอกข้าว่าหนึ่งปีครอบครัวเรามีเงินเพียงสองสามตำลึงกัน!” หลี่ต้าเฉิงรู้สึกเสียอาการไปเล็กน้อย “หลาย ๆ ครั้งที่เยว่หานอยากเย็บชุดใหม่ เจ้าก็มักจะบอกว่าไม่มีเงิน ๆ ตอนนี้เจ้าบอกข้ามา ในบ้านยังมีเงินอีกเท่าไหร่กัน!”
เมื่อได้ยินหลี่ต้าเฉิงตะคอกใส่นาง หวังเฟิ่งจึงรู้สึกไม่ยินดีนัก “หลี่เยว่หาน หลี่เยว่หาน! ท่านสนใจแค่ว่าหลี่เยว่หานเป็นลูกสาวของท่าน! ท่านลองถามตัวท่านเองเถิด หลังจากที่แม่ของนางตายไป ท่านหมดเงินไปเท่าไหร่กัน! นางเป็นคนที่ทำให้แม่ของนางต้องตาย ข้าเก็บนางไว้เช่นนี้ก็นับว่าข้าใจดีมากแล้ว!”
หลี่ต้าเฉิงมองหวังเฟิ่งอย่างเหลือเชื่อ “หวังเฟิ่งจงพูดและทำอย่างมีศีลธรรม! งานบ้านมากน้อยเพียงใดเยว่หานก็เป็นคนจัดการ ถึงแม้แม่ของนางจะจากไปเร็ว แต่ก็ทิ้งสินสอดไว้ให้จำนวนไม่น้อย ข้าก็มอบให้เจ้าทั้งหมดแล้ว!”
พี่ชายคนโตของหวังเฟิ่งไม่พอใจในตัวหลี่ต้าเฉิงมากนัก “ตอนที่ข้าแต่งงานกับท่าน ข้ายังไรเดียงสายิ่งนัก การที่ท่านมอบสินสอดให้แก่ข้าเป็นเรื่องที่ควรทำมิใช่หรือ! มิเช่นนั้น ข้าจะแต่งงานกับท่านไปทำไมกัน! ท่านเป็นเพียงชาวนาคนหนึ่ง ซ้ำยังมีลูกติดที่ยังไม่โตไหนภรรยาที่ป่วยอีก แต่ข้าก็ยังยินดีที่จะแต่งงานกับท่าน และยังให้กำเนิดหรงเออร์ลูกสาวที่น่ารักเช่นนี้ออกมาอีก!”
เมื่อได้ยินหวังเฟิ่งพูดถึงหลี่หรงหรง หลี่ต้าเฉิงจึงเอามือกุมหน้าผากตนเองอย่างสิ้นหวัง
ชื่อเสียงของหลี่หรงหรงถูกหลี่เยว่หานทำลายจนปนปี้ไปเสียแล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งหมู่บ้านเฮยถู่ต่างก็รู้ว่าหลี่หรงหรงคลานไปขึ้นเตียงว่าที่พี่เขยของตนด้วยตัวเอง และไม่มีความบริสุทธิ์ที่ปราศจากมลทินหลงเหลืออยู่แล้ว อีกทั้งตระกูลหลิ่วก็ไม่ยอมรับ หากคิดจะหาตระกูลดี ๆ เพื่อแต่งงานออกไปนั้น ก็คงยากราวกับการปีนขึ้นไปบนท้องฟ้า
“หวังเฟิ่ง” หลี่ต้าเฉิงถอนหายใจออกมา “หลายปีมานี้ เจ้าทำร้ายเยว่หาน และผลกรรมทั้งหมดก็ตกอยู่กับหรงเออร์แล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เมื่อพูดจบ หลี่ต้าเฉิงจึงชันกายลุกขึ้นและเดินออกไป
“อะไรที่เรียกว่าข้าทำร้ายเยว่หานกัน! ผลกรรมอะไรที่มาตกอยู่ที่หรงเออร์!” หวังเฟิ่งตะโกนไล่หลังเขาไปเสียงดัง “เห็นชัด ๆ ว่าหลี่เยว่หานหน้าไม่อาย! ท่านเป็นพ่อเหตุใดจึงพูดกับลูกสาวของตนเช่นนี้กัน!”
ไม่ใช่ว่าหลี่ต้าเฉิงไม่ได้ยินคำพูดของหวังเฟิ่ง เพียงแค่เขาไม่อยากจะสนใจแม้แต่ประโยคเดียว หลังจากเดินออกมาจากบ้านโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมอง หลี่ต้าเฉิงก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ใดเช่นกัน
ฟ้าใกล้จะมืดลงแล้ว ในที่สุดเมิ่งฉีฮ่วนก็เดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านไป๋อวิ๋น
ถึงแม้เขาจะยังคงเหลือพละกำลังอยู่อีกมาก และหลี่เยว่หานก็ตัวผอมบาง แต่เมื่ออุ้มไปนาน ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแขนชาขึ้นมา
เมิ่งฉีฮ่วนเป็นชายหนุ่มผู้ถึง ถึงแม้ห้องหับในบ้านจะไม่คับแคบ แต่ก็ยังรกอยู่มากเมิ่งฉีฮ่วนจัดการนำร่างของหลี่เยว่หานวางไว้ในห้องของตน จากนั้นจึงสะบัดแขนข้างที่รู้สึกชา และเตรียมที่จะจัดห้องให้หลี่เยว่หานอีกห้องหนึ่ง
“ท่านอา! ท่านกลับมาแล้ว!” น้ำเสียงนุ่มนวลดังและขณะนั้นเอง เด็กผู้หญิงอายุราว ๆ สามขวบ ตัวเล็กน่ารักก็วิ่งออกมาจากห้องครัว ก่อนจะสะดุดลงไปกอดขาของเมิ่งฉีฮ่วนเอาไว้ “หลิงซีคิดถึงท่านอา!”
เมิ่งฉีฮ่วนที่ถูกกอดขาไว้นั้น จึงไม่ได้รีบเดินออกไป ชายหนุ่มก้มตัวลงไปอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาจากพื้น และกอดไว้ในอ้อมแขน “หลิงซีวันนี้เป็นเด็กดีหรือไม่?”
หลิงซีกลับไม่ตอบคำถามของเขา แต่กลับกอดคอเมิ่งฉีฮ่วนไว้พลางหอมซ้ายทีหอมขวาที จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมบนตัวของท่านอาจึงมีกลิ่น!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมิ่งฉีฮ่วนจึงขมวดคิ้วเข้าหากัน “วันนี้อาไปรับอาสะใภ้ของเจ้าและมู่ชวนกลับมา ต่อไปก็จะมีคนคอยถักเปียให้หลิงซีแล้ว ดีหรือไม่?”
เมื่อเจ้าตัวน้อยได้ยินประโยคดังกล่าว นางกลับเบ้ริมฝีปากและเริ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมา “แง หลิงซีไม่อยากได้! หลิงซีเปียผมเองได้ หลิงซีไม่อยากได้ผู้หญิงคนอื่น!”
เมิ่งฉีฮ่วนรู้สึกงุนงงขึ้นมา เขารีบวางตัวนางให้ยืนกับพื้น วิ่งไปในครัวพลางตะโกนเสียงดัง “จงเจิ้งมู่ชวน! จงเจิ้งมู่ชวน! น้องสาวเจ้าร้องไห้อีกแล้ว!!!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เด็กชายวัยห้าขวบจึงวิ่งออกมาจากห้องครัว ริมฝีปากยังคงเคี้ยวอาหารอยู่ เม็ดข้าวยังติดอยู่บนใบหน้า แต่ฝีเท้ากลับไวนัก เพียงไม่นานก็วิ่งมาถึงจงเจิ้งหลิงซีและเมิ่งฉีฮ่วน จากนั้นจึงกลืนอาหารในปากลงคอไปอย่างรวดเร็ว
“น้องพี่ไม่ร้องนะ” จงเจิ้งมู่ชวนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผู้หญิงร้องไห้เพียงหนึ่งครั้งก็จะน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย หากเจ้าร้องไห้ต่อไป หลังจากนี้ก็จะเป็นจงเจิ้งผู้น่าเกลียดแล้ว!”