ทะลุมิติไปเป็นหญิงพาลผู้งามเลิศประจำหมู่บ้าน - บทที่ 22 คนเราเกิดมาก็ย่อมต้องไร้ยางอาย
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นหญิงพาลผู้งามเลิศประจำหมู่บ้าน
- บทที่ 22 คนเราเกิดมาก็ย่อมต้องไร้ยางอาย
บทที่ 22 คนเราเกิดมาก็ย่อมต้องไร้ยางอาย
“เจ้าไม่ต้องมองข้าเช่นนี้” เมิ่งฉีฮ่วนมองไปที่หลี่เยว่หานด้วยความจริงจัง “จนกว่าหนี้จะหมด เจ้าสามารถอาศัยอยู่ในบ้านของข้าได้ ข้าวเองก็สามารถกินได้โดยไม่เสียเงิน…. ข้ารู้สึกว่าเช่นนี้เหมาะสมยิ่ง อย่างไรเสียข้าก็ได้ยินมาว่าแม่เลี้ยงของเจ้าไม่ชอบเจ้าเอามาก ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เยว่หานก็หมดแรงราวกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออก
หญิงสาวโบกมือ “หากต้องเลือกระหว่างคนไร้ยางอายเช่นท่านกับหวังเฟิ่งแล้ว ข้าย่อมเลือกหวังเฟิ่งมากกว่า เพราะอย่างน้อยนางก็ไม่อาจเอาชนะข้าได้ ทว่าท่านเป็นคนไร้ยางอายที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอ ข้าไม่อาจเอาชนะท่านได้ อีกทั้งยังโดนท่านหลอกจนโมโหเช่นนี้”
“เจ้าจะกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมได้” เมิ่งฉีฮ่วนพยักหน้าเห็นพ้อง “คนเราเกิดมาก็ย่อมต้องไร้ยางอาย ไม่เช่นนั้นจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร เจ้ารู้เรื่องนี้ดีกว่าข้าไม่น้อย”
“…” หลี่เยว่หานข้ามเวลามาหลายวันแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเสียเปรียบในการพูดคุย ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ชั่วขณะ
“เอาละ พักผ่อนให้ดี ๆ ร่างกายของเจ้าอ่อนแอมาก ข้าจะหาวิธีบำรุงให้” เมิ่งฉีฮ่วนเก็บสัญญา ก่อนจะมองไปที่หลี่เยว่หานแล้วกล่าวออกมา
หลี่เยว่หานรู้สึกหมดแรงไปทั้งร่าง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทว่าเมื่อหญิงสาวกำลังจะนอนลง เมิ่งฉีฮ่วนที่เดินไปถึงประตูก็หยุดแล้วหันกลับมามองนาง “เจ้าว่า ข้าควรจะเก็บค่ายาจากเจ้าด้วยหรือไม่? นับรวมกันแล้วก็เพียงแค่ไม่กี่ตำลึง!”
หลังจากได้ยิน หลี่เยว่หานก็จ้องมองอีกฝ่ายตาขวาง
เมื่อเมิ่งฉีฮ่วนเห็นเช่นนี้แล้ว เขาก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเดินออกไปพร้อมปิดประตูห้อง
หลี่เยว่หานที่นอนบนเตียงได้แต่ถอนหายใจออกมา
ร่างกายนี้ย่ำแย่เกินไปจริง ๆ หากเธอไม่หมดสติลงไปอย่างไม่อาจอธิบายได้ เธอก็คงไม่ถูกตระกูลหลี่ส่งมอบให้เมิ่งฉีฮ่วนเพื่อใช้หนี้เช่นนี้
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หลี่เยว่หานก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
ในสมัยโบราณ สตรีไม่มีตำแหน่งใด ๆ เธอเป็นเพียงลูกสาวที่ไม่มีครอบครัวฝ่ายแม่ช่วยเหลือ ทั้งยังไม่อาจทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ การเอาตัวรอดด้วยตัวเองเพียงลำพังนับว่าเป็นเรื่องลำบากอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้ตระกูลหลี่กลับมอบเธอให้เมิ่งฉีฮ่วนเป็นการจ่ายหนี้ คาดว่าใบทะเบียนราษฎร์ของเจ้าของร่างน่าจะอยู่กับเมิ่งฉีฮ่วนแล้ว
ตอนนี้เธอก็เหมือนหญิงที่แต่งงานแล้ว ยกเว้นแต่ว่าเธอจะสามารถหาเงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึงมาได้ทันภายในสองปี
เมื่อถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่จะสามารถจากเมิ่งฉีฮ่วนได้เท่านั้น ยังสามารถตั้งตระกูลหญิงของตนเองขึ้นมาได้ด้วย
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว หลี่เยว่หานก็ฟื้นจิตวิญญาณกลับคืนมา!
ใช่แล้ว! หากหญิงที่แต่งงานแล้วไม่เป็นที่ยอมรับ เธอก็จะตั้งตระกูลหญิงขึ้นมาเอง!
หลังจากตัดสินใจแล้ว หลี่เยว่หานก็ปล่อยวางเรื่องหนึ่งพันหนึ่งร้อยตำลึงลงไปชั่วคราว ก่อนตั้งสมาธิกับการดูแลร่างกาย
ทุกวันเมิ่งฉีฮ่วนจะจัดเตรียมยาให้แก่เธอ เขาเป็นนายพรานคนหนึ่ง ฐานะทางบ้านนับได้ว่าร่ำรวย นอกจากนี้คนในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นยังฐานะดีกว่าคนในหมู่บ้านเฮยถู่ ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ได้รับการปฏิบัติแย่ ๆ ในเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าจากเมิ่งฉีฮ่วน
ทุกวันจงเจิ้งมู่ชวนจะนำยามาให้เธอที่ห้อง หลี่เยว่หานจึงรู้สึกสบายขึ้นมาก ทั้งยังมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้นจนสามารถลุกจากเตียงได้ด้วยตัวเอง
เมื่อหลี่เยว่หานได้เห็นลานบ้านตระกูลเมิ่งเป็นครั้งแรก หญิงสาวก็รู้สึกประหลาดใจ
แม้เมิ่งฉีฮ่วนจะแต่งกายด้วยชุดซอมซ่อ แต่ลานบ้านนั้นไม่เล็กเลย ด้านหลังมีห้องอยู่ถึงห้าหรือหกห้อง ผ่านประตูแรกเข้าไปจะพบว่ามีลานใหญ่ที่เต็มไปด้วยของจิปาถะกองพะเนิน มองดูแล้วรกไม่ใช่น้อย
แต่ห้องครัวที่อยู่ในลานถูกจัดเอาไว้เรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง สามารถกล่าวได้ว่ามีทุกสิ่งที่ควรจะมี
หลี่เยว่หานเดินเข้าไปในขณะที่จงเจิ้งมู่ชวนกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เมื่อเขาเห็นว่าหลี่เยว่หานเดินเข้ามา ก็อดตะลึงงันไปชั่วขณะไม่ได้ จากนั้นจึงยิ้มออกมา “ท่านสามารถลุกจากเตียงได้แล้วหรือ!”
“อืม” หลี่เยว่หานพยักหน้า ก่อนจะเดินไปหาจงเจิ้งมู่ชวนด้วยท่าทางปกติ ก่อนจะเอามีดทำครัวออกมาจากมือของเขา “เจ้ายังอายุน้อยถึงเพียงนี้แต่กลับทำอาหารแล้ว ไม่กลัวมีดจะบาดมือเอาหรือ?”
มีดทำขึ้นมาจากเหล็ก หลี่เยว่หานเองตอนถือยังรู้สึกหนักเล็กน้อย
“ตอนแรกก็บาดมืออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่บาดแล้ว!” จงจิ้งมู่ชวนพูดขึ้นมาอย่างสงบ แต่ก็แอบซ่อนมือที่เพิ่งโดนบาดเอาไว้ด้านหลัง
หลี่เยว่หานย่อมสังเกตเห็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ของเขา แต่เธอก็ไม่คิดจะเปิดโปง หญิงสาวหันไปหั่นมันฝรั่งเป็นเส้น ก่อนจะถามออกมา “มีพริกหรือไม่? ข้าจะทำมันฝรั่งผัด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว จงเจิ้งมู่ชวนก็แสดงสีหน้าฉงน “อะไรคือพริก?”
“…” หลี่เยว่หานแทบจะสำลักเพราะคำพูดของเขา เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในสมัยราชวงศ์ที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ยุคนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีพริกเท่านั้น แต่มันฝรั่งยังถูกเรียกว่ามันหวาน ไม่รู้ว่ามันหวานที่แท้จริงไปอยู่แห่งใด สิ่งเหล่านี้ทำเอาเธอรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด
“ปกติเจ้าเอามันฝรั่…มันหวานไปทำสิ่งใด?” หลี่เยว่หานถามขึ้นมา
“ลวกน้ำก่อนจะนึ่ง จากนั้นก็นำมาใส่เกลือแล้วบดให้เละ” จงเจิ้งมู่ชวนตอบกลับอย่างซื่อตรง
ได้ยินแล้ว หลี่เยว่หานก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นึ่งได้เลย ไม่จำเป็นต้องลวกน้ำก่อน”
“โอ้…” ทักษะการทำอาหารของจงเจิ้งมู่ชวนเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเคยสอนเขา หลังจากได้ยินคำกล่าวของหลี่เยว่หาน เขาก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าไปก่อไฟเถอะ ข้าจะไปทำกับข้าว” หลี่เยว่หานสำรวจสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในครัวอย่างละเอียด ภายในใจครุ่นคิดสิ่งที่จะทำ จากนั้นก็ไล่ให้จงเจิ้งมู่ชวนที่อยู่ด้านข้างตนไปจุดไฟ
“ร่างกายท่านเพิ่งหายดี ยังไม่ควรทำงาน” จงเจิ้งมู่ชวนยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
หลี่เยว่หานอดแอบถอนหายใจไม่ได้ กล่าวกันว่าเด็กในบ้านยากจนจะดูแลคนในบ้านเป็นเร็ว เด็กคนนี้รู้ความมากเกินไปแล้ว!
“ไม่เป็นไร แค่ทำอาหารเท่านั้น” หลี่เยว่หานยิ้มให้กับจงเจิ้งมู่ชวน “อีกทั้ง ไม่ใช่ว่าข้าให้เจ้าช่วยก่อไฟหรอกหรือ ก่อไฟนับเป็นงานที่เหนื่อยที่สุดแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงอ่อนโยนของหลี่เยว่หาน ภายในใจของจงเจิ้งมู่ชวนก็อบอุ่นขึ้นมา เขาเดินไปก่อไฟอย่างว่าง่าย
วัตถุดิบในครัวมีอยู่อย่างจำกัด เครื่องปรุงเองก็มีไม่มาก หลี่เยว่หานทำมันฝรั่งผัด และผัดถั่วแขก สุดท้ายก็ใส่ข้าวสวยลงในหม้อ หลังจากน้ำเดือดแล้วจึงตักข้าวที่กึ่งสุกออกมาใส่ในถังที่ถูกปูเอาไว้ด้วยผ้ายาว จากนั้นเทน้ำต้มข้าวเก็บเอาไว้
“มู่ชวน เร่งไฟสักหน่อย หลังจากข้าวสุกก็พร้อมทานแล้ว” หลี่เยว่หานกล่าว เธอมองไปรอบ ๆ แต่ไม่พบแผ่นไม้ไผ่*[1]รองก้น จึงเอาไม้ไผ่สองสามท่อนออกมาจากกองฟืนมาทำเป็นแผ่นไม้ไผ่ขนาดพอประมาณ จากนั้นก็ใส่มันลงในถังสำหรับหุงข้าว
หลังจากนั้นเธอก็หันมาพบกับจงเจิ้งมู่ชวนที่มีสีหน้าตื่นตะลึง
“มีอะไรหรือ?” หลี่เยว่หานงุนงงเล็กน้อย เด็กคนนี้ตื่นตะลึงกับสิ่งใด?
“ท่าน…ท่าน…” จงเจิ้งมู่ชวนชี้นิ้วมา ก่อนจะพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย “ท่านสามารถบิดไม้ไผ่เข้าด้วยกันโดยใช้มือเปล่าอย่างนั้นหรือ?”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว หลี่เยว่หานก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าเด็กโง่ ไม้ไผ่นั้นอ่อนนุ่มเป็นอย่างมาก อีกอย่างนี่ไม่เรียกว่าบิดเข้าด้วยกัน แต่เรียกว่าการสาน”
“แต่…อาเมิ่งบอกว่า ไม้ไผ่มีไว้สำหรับเป็นฟืน ข้าไม่สามารถหักมันได้!” จงเจิ้งมู่ชวนมองไปที่หลี่เยว่หานด้วยความจริงจัง “ท่านทำได้อย่างไร? ท่านเป็นวิชายุทธ์ใช่หรือไม่? สอนข้าได้หรือเปล่า?”
[1] แผ่นไม้ไผ่(竹篾子)