ทะลุมิติไปเป็นหญิงพาลผู้งามเลิศประจำหมู่บ้าน - บทที่ 23 ข้าไม่ต้องการกินอาหารของเจ้า!
บทที่ 23 ข้าไม่ต้องการกินอาหารของเจ้า!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย “ที่เจ้าไม่สามารถทำได้ก็เพราะเจ้ายังเด็กนัก ข้าจะสอนเจ้าเมื่อโตขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”
“ท่านพูดจาล้อเล่นแล้ว!” จงเจิ้งมู่ชวนท้าวเอวตนเอง “ข้าเคยไปตลาดกับอาเมิ่งมาก่อน สิ่งที่ท่านทำขึ้นมาเมื่อครู่อาจสามารถขายได้ถึงหนึ่งร้อยอีแปะ! จะไม่ใช่เรื่องยากได้อย่างไร!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เยว่หานก็พยักหน้า ภายในใจจดจำเรื่องนี้เอาไว้ หลังจากนั้นก็ลูบหัวของจงเจิ้งมู่ชวน “เช่นนั้นวันข้างหน้าข้าจะสอนเจ้าทำ แต่ตอนนี้ไปดูก่อนเถอะว่าน้องสาวของเจ้าตื่นแล้วหรือยัง จะได้พานางไปล้างหน้ากลั่วปาก”
หลี่เยว่หานทนไม่ได้ที่จะไม่แปรงฟัน ดังนั้นเธอจึงให้ช่วงเวลาที่จงเจิ้งมู่ชวนไปหาน้องสาว หักกิ่งไม้สดในลานมาชิ้นหนึ่ง ก่อนใช้มีดปาดอย่างระมัดระวัง เพียงไม่นานก็ได้แปรงสีฟันอย่างเรียบง่ายมา
ก่อนหน้านี้หญิงสาวก็ทำแปรงสีฟันไว้ใช้เองในบ้านสกุลหลี่ น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ตัวตอนออกมาจากบ้านหลังนั้น แปรงสีฟันจึงไปไหนแล้วก็ไม่อาจทราบ
รอจงเจิ้งหลิงซีล้างหน้ากลั่วปากเสร็จ เวลาก็ล่วงผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
หลี่เยว่หานวางจานลงบนโต๊ะ ก่อนจะตักข้าวใส่จานของสองพี่น้อง และส่งสัญญาให้พวกเขากินได้
จงเจิ้งมู่ชวนกินมันฝรั่งผัดและผัดถั่วแขกเข้าไปด้วยความอยากลอง ทันใดนั้นเองดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา กวาดข้าวกินเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
หลี่เยว่หานเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันขึ้นมาเล็กน้อย “กินช้าลงหน่อย ไม่มีผู้ใดแย่งเจ้ากินหรอก”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ จงเจิ้งหลิงซีก็ย่นจมูก “วันนี้เจ้าเป็นคนทำอาหารอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่” หลี่เยว่หานเห็นว่าหลิงซีไม่ยอมขยับตะเกียบ จึงวางน้ำต้มข้าวชามหนึ่งไว้ด้านหน้านาง “เจ้าเพิ่งจะตื่น ดื่มน้ำต้มข้าวเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนเถอะ”
ทว่าหลิงซีกลับแสดงสีหน้าแข็งกร้าวออกมา ก่อนจะผลักชามและตะเกียบออกไป จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังเล็ก ๆ ของเด็กหญิง หญิงสาวก็อดนึกถึงคำพูดของเมิ่งฉีฮ่วนขึ้นมาไม่ได้
“หลิงซีไม่ชอบเจ้าเพราะว่านางมองว่าเจ้าเป็นคู่แข่งด้านความรัก นางต้องการโตมาเพื่อแต่งงานกับข้า”
เดิมทีหลี่เยว่หานไม่ได้สนใจอะไรกับประโยคนี้อย่างจริงจัง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าจงเจิ้งหลินซีจะถือว่าเธอเป็นคู่แข่งด้านความรักจริง ๆ!
เมิ่งฉีฮ่วนผู้นี้ช่างหน้าไม่อายเป็นอย่างยิ่ง หลิงซียังเด็กถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นลูกของพี่น้องร่วมสาบาน เขากลับลงมือได้อย่างไม่ละอายใจ
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ความรังเกียจของหลี่เยว่หานที่มีต่อเมิ่งฉีฮ่วนก็เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
มู่ชวนเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอยู่ครู่หนึ่งจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าน้องสาวของตนไม่อยู่แล้ว เขาจึงเงยหน้าจากชามข้าวมองไปที่หลี่เยว่หานด้วยความฉงน “หลิงซีหนีไปอีกแล้วหรือ?”
“เหตุใดจึงกล่าวว่าอีกแล้ว?” หลี่เยว่หานเอียงศีรษะถาม
“เพราะหลิงซีไม่ชอบท่าน” มู่ฉวนกล่าวออกมา หลังจากดื่มน้ำต้มข้าวที่หลี่เยว่หานวางให้หลิงซีเข้าไปแล้ว เขาก็ลูบหน้าท้องที่นูนออกมาด้วยความพึงพอใจ “หลิงซีก็เป็นเช่นนี้ ท่านไม่ต้องสนใจนาง ประเดี๋ยวนางก็จะแอบออกมากินข้าวเอง”
ฟังแล้วหลี่เยว่หานก็อดรู้สึกสนใจขึ้นมาไม่ได้ “หรือว่านางเคยโมโหแล้วไม่ยอมกินข้าวมาก่อน?”
“เป็นเรื่องปกติของบ้านไปแล้ว!” มู่ชวนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มระรื่น “ไม่รู้ว่านางเรียนเรื่องนี้มาจากผู้ใด จู่ ๆ นางก็บอกว่าโตขึ้นไปแล้วอยากจะแต่งงานกับอาเมิ่ง แต่อาเมิ่งอายุห่างจากนางมาก ทว่าพูดเท่าไหร่หลิงซีก็ไม่ฟัง ยามนั้นพวกเราทำเพียงแค่เกลี้ยกล่อมให้นางเลิกคิดจะแต่งงานกับอาเมิ่ง นางกลับอดอาหารต่อต้าน”
“ตอนแรกข้ากับอาเมิ่งคิดว่านางอดอาหารจริง ๆ แต่หลังจากนั้นก็พบว่า เมื่อพวกเราออกไปข้างนอกแล้ว หลิงซีจะแอบออกไปที่ครัวเพื่อหาอะไรกิน”
พูดจบแล้ว จงเจิ้งมู่ชวนก็ถอนหายใจออกมา แสร้งทำเป็นวางมาดขรึมก่อนพูด “ไต่ถามรักคือสิ่งใด แม้เป็นตายขออยู่เคียงคู่!*[1]”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เอาล่ะ เจ้าก็อย่ามัวแต่ทำท่าทางเช่นนั้น รีบเก็บของแล้วไปเข้าเรียนเถอะ จะได้ไม่สาย”
“ใช่แล้ว!” มู่ชวนตอบรับ ก่อนจะกระเด้งตัวออกจากเก้าอี้แล้วออกไปอย่างว่องไว จากนั้นก็หยิบกระเป๋าหนังสือแล้วจากไปอย่างเร่งรีบ
หลี่เยว่หานมองดูเขาออกจากบ้าน ก่อนจะเริ่มเก็บของบนโต๊ะ
แม้จงเจิ้งมู่ชวนจะกล่าวว่าเด็กหญิงจะแอบออกมาหาอะไรกินเองตอนที่ไม่มีใครอยู่ แต่หลี่เยว่หานรู้สึกว่าไม่อาจทำเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องสั่งสอนเด็กให้ถูกต้องจะได้ไม่เคยตัว
ดังนั้นหลี่เยว่หานจึงเก็บอาหารทั้งหมด แล้วกลับไปทิ้งตัวลงนอนในห้อง
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็มีคนมาเคาะประตูห้องของหลี่เยว่หานอย่างแรง หลี่เยว่หานเลิกคิ้วขึ้น ทว่าไม่ได้ตอบสนองอันใด
เสียงเคาะประตูดังต่อไปอีกพักหนึ่ง ก่อนเสียงของจงเจิ้งหลิงซีจะดังออกมาจากด้านนอก “นังหญิงโสโครก! เจ้าเอาอาหารทั้งหมดไปเก็บไว้ที่ไหน! ต้องการให้ข้าอดตายหรืออย่างไร!”
เฮ้อ…แม่นางน้อยผู้นี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง!
หลี่เยว่หานไม่ตอบสนองใดต่อการเคลื่อนไหวด้านนอกประตู
จงเจิ้งหลิงซียังคงตะโกนต่อไปสักพัก เมื่อพบว่าหลี่เยว่หานไม่ตอบสนอง สุดท้ายก็อดเกิดความเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้ “รออาเมิ่งกลับมาก่อนเถอะ ข้าจะบอกเขาว่าเจ้าทรมานข้า! ฮึ่ม!”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว หลี่เยว่หานก็เลิกคิ้วขึ้น
กว่าเมิ่งฉีฮ่วนจะกลับมาก็เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว เธอไม่เชื่อว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะทนหิวได้นานถึงตอนนั้น
ตอนเที่ยง หลี่เยว่หานกำลังจัดเตรียมอาหารไว้รอมู่ชวนกลับมากินข้าว จงเจิ้งหลิงซีก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“เหตุใดตอนเช้าเจ้าจึงซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่ส่งเสียงอะไร!” นางมองไปที่หลี่เยว่หาน น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
หลี่เยว่หานชำเลืองมองนาง ทว่าไม่ได้สนใจอะไร
“ข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ!” จงเจิ้งหลิงซีขึ้นเสียง
ครั้งนี้หลี่เยว่หานไม่แม้แต่จะปรายตามองนาง ยังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ
“หญิงโสโครก!” จงเจิ้งหลิงซีโกรธจัดจนตั้งใจจะปาก้อนหินก้อนเล็กในมือใส่หลี่เยว่หาน ทว่าโดนจงเจิ้งมู่ชวนที่เพิ่งกลับมาจากการเรียนและรีบวิ่งเข้าไปในครัว โดยไม่ได้กระทั่งแม้แต่จะวางกระเป๋าหนังสือลงเห็นเข้าพอดี
“หลิงซี!” จงเจิ้งมู่ชวนรีบร้องเรียกนาง จากนั้นก็วิ่งไปเบื้องหน้า คว้าเอาก้อนหินออกมาจากมือของเด็กหญิง “เจ้าคิดจะทำอะไร!”
“ฮือออ…” จงเจิ้งหลิงซีน้ำตาไหลทันทีที่เห็นจงเจิ้งมู่ชวน นางร้องไห้ออกมาก่อนชี้ไปที่หลีเยว่หาน “นางรังแกข้า นางซ่อนอาหารทั้งหมดเอาไว้ ข้าไปเคาะประตูนางก็ไม่สนใจ ฮือ….หลิงซีหิวมาก…”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น จงเจิ้งมู่ชวนก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา เขาหันไปมองหลี่เยว่หานทันทีแล้วกล่าวออกมา “เหตุใดท่านจึงซ่อนอาหารทั้งหมดเอาไว้! ท่านเห็นว่าพวกเราสองคนเป็นเพียงลูกติดของอาเมิ่งเช่นนั้นหรือ! ท่านเพิ่งจะเข้ามา ทำเช่นนี้กับน้องสาวข้าได้อย่างไร!”
หลี่เยว่หานเอียงศีรษะ ไม่เอ่ยอธิบายสิ่งใด ทำเพียงแต่วางอาหารทั้งหมดไว้บนโต๊ะก่อนพูดขึ้น “มากินข้าวกันได้แล้ว”
“ข้าไม่ต้องการกินอาหารที่นังผู้หญิงโสโครกนี่ทำขึ้นมา!” หลิงซีประกาศกร้าวขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็มองนางอย่างสบาย ๆ “ตกลง ถ้าเจ้าไม่อยากกินอาหารที่ข้าทำ เช่นนั้นก็ไม่ต้องมองหาของกินบนโต๊ะแล้ว เพราะทั้งหมดนั่นเป็นข้าที่ทำขึ้นมา แล้วก็อย่ามาเคาะประตูห้องข้าหากไม่มีอะไรกิน พูดสิ่งใดแล้วก็จงมีสัจจะ ข้าแค่ช่วยให้เจ้าทำตามคำพูดของตนเองเท่านั้น”
[1] 问世间情为何物,直教人生死相许 มาจาก《摸鱼儿·雁丘词》 ของนักเขียนชื่อหยวนฮ่าวเวิ่น
(หยวนฮ่าวเวิ่น) ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างราชวงศ์จินและหยวน