ทะลุมิติไปเป็นหญิงพาลผู้งามเลิศประจำหมู่บ้าน - บทที่ 30 ต่อสู้กัน
บทที่ 30 ต่อสู้กัน
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็หันศีรษะมองไปที่เมิ่งฉีฮ่วนที่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ แล้วยิ้มอย่างงุ่มง่ามปนเคอะเขิน ก่อนออกจากห้องไป
ทันทีที่หญิงสาวออกจากห้อง หลี่เยว่หานก็ชนเข้ากับมู่ชวน
“ท่านกลัวรึ?” เมื่อเห็นท่าทางเหมือนเห็นผีของหลี่เยว่หาน มู่ชวนก็หรี่ตาและถามด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” หลี่เยว่หานถามด้วยเสียงต่ำ “ตอนนี้หลิงซีไม่ได้ดูเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เลย แต่ดูเหมือนผู้ใหญ่มาก!”
“ทุกครั้งที่นางรู้สึกไม่สบายใจนางจะกลายเป็นแบบนี้” มู่ชวนกล่าวพร้อมถอนหายใจ “ข้าตกใจเมื่อเห็นเป็นครั้งแรก ต่อมาข้าได้ยินจากอาเมิ่งว่าในเวลานี้หลิงซีดูเหมือนท่านแม่ของพวกเรามาก… กล่าวกันว่าท่านแม่ของเรามีความสง่างามและมีคุณธรรมที่หาได้ยาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เยว่หานก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา “เจ้า… เป็นลูกของเมิ่งฉีฮ่วนจริงหรือ?”
“ย่อมไม่ใช่” มู่ชวนมองไปที่หลี่เยว่หานอย่างจริงจัง “ตอนที่เสด็จพ่อข้าจากไป อายุข้าตอนนั้นก็เท่ากับหลิงซีแล้ว ข้าจำได้ว่าเสด็จพ่อของข้ามอบพวกเราพี่น้องให้กับอาเมิ่ง และมอบหมายให้อาเมิ่ง เลี้ยงดูเราจนโตเป็นผู้ใหญ่”
“เสด็จพ่อ?” หลี่เยว่หานขมวดคิ้ว “เจ้าเรียกบิดาของเจ้าว่าเสร็จพ่อหรือ?”
“ถูกต้อง” มู่ชวนพยักหน้า “นั่นคือวิธีที่เราเรียกบิดาในบ้านเกิดของข้า แม้ว่าข้าจะมีความทรงจำเมื่อตอนที่ข้าอายุสามขวบ แต่ตอนนั้นข้ายังเด็กและจำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ข้ารู้ชัดจากความทรงจำคืออาเมิ่งพาพวกเราพี่น้องเดินทางข้ามภูเขาและแม่น้ำเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ก่อนจะมาถึงหมู่บ้านไป๋อวิ๋น”
หลังจากฟังคำบรรยายของมู่ชวนแล้ว หลี่เยว่หานก็ยิ่งรู้สึกงงงวยมากขึ้น “อาเมิ่งของเจ้าเป็นคนพิเศษงั้นหรือ?”
“เท่าที่ข้าจำได้ อาเมิ่งเป็นนักล่า” มู่ชวนพูดอย่างจริงจัง “ถ้ามีอะไรแตกต่างออกไป แสดงว่าศิลปะการต่อสู้ของอาเมิ่งนั้นดีมาก”
“ว่ากันว่าผู้ที่เก่งศิลปะการต่อสู้เป็นพิเศษจะมีการได้ยินที่ดีกว่าคนอื่น ๆ” หลี่เยว่หานพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นเรากำลังคุยกันที่ลานบ้าน อาเมิ่งของเจ้าก็ได้ยินทุกอย่างแล้ว!”
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ หลี่เยว่หานจึงรีบดึงมู่ชวนออกจากลานด้านใน
ขณะที่ทั้งสองคนออกจากลานด้านใน เมิ่งฉีฮ่วนก็เดินออกมาจากห้องของหลิงซี ในมือถือลัญจกรหยกที่ส่องแสงเรืองรองเอาไว้
เมิ่งฉีฮ่วนมองไปที่ประตูของลานด้านใน ก่อนนำลัญจกรหยกกลับเข้าไปเก็บในห้อง จากนั้นก็เดินออกมาจากลานด้านใน โดยถือชามเปล่าที่เขากินเสร็จแล้วตรงไปที่ห้องครัว
ในเวลานี้ หลี่เยว่หานกำลังจดจ่ออยู่กับการศึกษาพริกป่าที่ตนนำกลับมา และไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของเมิ่งฉีฮ่วนเลย ทางมู่ชวน ซึ่งนั่งยอง ๆ ข้าง ๆ คอยดูการเคลื่อนไหวของนางก็จริงจังเช่นกัน พวกเขาจึงไม่ได้สังเกตว่ามีคนเข้ามา
“พรุ่งนี้ข้าต้องพรวนดินในสวนหลังบ้านให้หมดเพื่อที่จะได้ปลูกพริกป่า” หลี่เยว่หานห่อรากของพริกด้วยดินสีดำที่เธอเพิ่งขุดมา ก่อนถอนหายใจ “สวนหลังบ้านเป็นที่ดินผืนใหญ่ ปล่อยไว้แห้งแล้งเช่นนี้ช่างเสียเปล่าไปจริง ๆ ”
หลังจากได้ยินคำพูดของนาง มู่ชวนก็ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ถามว่า “ทำไมท่านถึงอยากปลูกพริกป่าเล่า?”
“ไม่เพียงแต่ข้าต้องการปลูกพริกป่า? ข้ายังต้องการปลูกสิ่งอื่น ๆ ด้วย” หลี่เยว่หานกล่าวพลางตบดินในมือ และพูดอย่างผ่อนคลาย “ท้ายที่สุด ข้าก็เป็นหนี้จำนวนมหาศาล ดังนั้นข้าต้องรีบหาวิธีหาเงินมาคืนอาเมิ่งของเจ้า”
“อันที่จริง อาเมิ่งไม่ต้องการ…” มู่ชวนต้องการบอกหลี่เยว่หานว่าเมิ่งฉีฮ่วนไม่ต้องการเงินของหลี่เยว่หานเลย ทั้งเขายังใช้ยาสลายกำลังกับหลี่เยว่หานด้วย
“เจ้ากำลังทำอะไร?” เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ถูกต้อง เมิ่งฉีฮ่วนจึงรีบขัดจังหวะมู่ชวน
เมื่อเห็นเมิ่งฉีฮ่วนปรากฏตัว หลี่เยว่หานก็หดคอโดยไม่รู้ตัว “ไม่มีอะไร… ข้าจัดการกับต้นพริกป่าที่ข้าขุดขึ้นมาในวันนี้ และวางแผนที่จะปลูกลงในที่ดินผืนเล็ก ๆ ในสวนหลังบ้านในวันพรุ่งนี้”
ขณะที่พูดกัน เมิ่งฉีฮ่วนก็ได้เดินมาหาพวกนางแล้ว เขายื่นจานชามเปล่าในมือไปทางมู่ชวนตัวน้อยที่รับมันไปอย่างเชื่อฟังพลางลุกขึ้นไปล้างจาน
“การพลิกหน้าดินนี่ เจ้าน่าจะทำได้ไม่ดีนัก” เมิ่งฉีฮ่วนกล่าวพลางตรวจสอบกิ่งพริกป่าของหลี่เยว่หานอย่างระมัดระวัง และอดถอนหายใจไม่ได้ที่ผู้หญิงคนนี้พอจะมีฝีมืออยู่สองสามส่วน จากนั้นจึงพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะพักผ่อนหนึ่งวัน แล้วจะพลิกหน้าดินให้เอง”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าหลี่เยว่หานจะยินดีในใจ แต่ความมีเหตุผลก็หยุดเธอไว้ “ไม่จำเป็น ในเมื่อพรุ่งนี้ท่านวางแผนที่จะพักผ่อนแล้วก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ การพลิกหน้าดินนี้ เดี๋ยวข้าจะทำเอง!”
“ก็ได้ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว” เมิ่งฉีฮ่วนไม่แม้แต่จะเกลี้ยกล่อม เขาพยักหน้าและลุกขึ้นจากไปทันที
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเมิ่งฉีฮ่วน หลี่เยว่หานก็อดไม่ได้ที่จะมึนงงเล็กน้อย
ดูเหมือนเธอจะเจอคนที่หลอกไม่ได้เข้าให้แล้ว?
มันเป็นพิษเกินไป! พวกเขาไม่ได้พูดหรือว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนและความมีมารยาทเป็นคุณธรรมดั้งเดิมที่สืบทอดมานับพันปี? ทำไมเมิ่งฉีฮ่วนถึงจากไปเช่นนั้นกัน?
ยิ่งหลี่เยว่หานคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เธอรู้จักเมิ่งฉีฮ่วน เธอก็ต้องทนทุกข์ทรมานมาก
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลี่เยว่หานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ว่ากันว่าสิ่งหนึ่งข่มอีกสิ่งหนึ่ง สำหรับเธอแล้วก็คงเป็นเมิ่งฉีฮ่วนแล้ว!
เขาจะไม่ทำตามกิจวัตรสินะ ถ้างั้นพวกเราก็มาสู้กันตรง ๆ !
วันถัดมา
หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว หลี่เยว่หานก็ส่งมอบงานล้างจานให้กับเมิ่งฉีฮ่วน จากนั้นก็ไปที่สวนหลังบ้านพร้อมกับแบกจอบไว้บนไหล่
เมื่อเมิ่งฉีฮ่วนมาที่สวนหลังบ้าน หลี่เยว่หานก็กำลังขุดดินอยู่
ครั้นเห็นเมิ่งฉีฮ่วนปรากฏตัว หลี่เยว่หานก็เหลือบมองเขา
โดยไม่คาดคิด เมิ่งฉีฮ่วนจะหมุนตัวจากไปเลย ทำให้หลี่เยว่หานต้องอับอาย
เมื่อหลี่เยว่หานคิดว่าเมิ่งฉีฮ่วนจะไม่ปรากฏตัวอีก ทันใดนั้น เขาก็นำเก้าอี้สำหรับเอนนอนมาพร้อมกาน้ำชาในมือ จากนั้นภายใต้สายตาที่จับจ้องของหลี่เยว่หาน เขาก็วางเก้าอี้สำหรับเอนนอนในที่ร่มและเอนกายลงพลางดื่มชาอย่างสบายใจ
หลี่เยว่หาน “???”
พี่ชายคนนี้เขาเอาจริงหรือ? เขาเคยถูกทุบตีหรือไม่?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จู่ ๆ หลี่เยว่หานก็นึกสิ่งที่มู่ชวนพูดเมื่อคืนได้ ดูเหมือนศิลปะด้านการต่อสู้ของเมิ่งฉีฮ่วนจะทรงพลังมาก
สู้ไม่ได้ พูดก็ไม่ชนะ หลี่เยว่หานจะคลั่งแล้วจริง ๆ! หญิงสาวทำได้เพียงระบายความโกรธลงบนจอบ โดยการขุดดินอย่างดุร้าย
เมิ่งฉีฮ่วนที่อยู่ข้าง ๆ คิดว่ามันตลกดี และอดที่จะพูดไม่ได้ว่า “เจ้ากำลังขุดดินหรือเจ้ามีความแค้นกับพื้นดินกัน?”
“ไม่ใช่เรื่องของท่าน!” หลี่เยว่หานตอบห้วน ๆ “ท่านมาหาข้า เพื่อดื่มชาต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ? ท่านมีความแค้นกับข้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ ข้าตั้งใจมาที่นี่เพื่อให้เจ้าอิจฉา” เมิ่งฉีฮ่วนไม่ได้ปิดบังเลย และยอมรับอย่างเรียบง่าย
หลี่เยว่หานเดือด…
“ได้! ท่านชนะแล้ว!” หลังจากพูดจบ หลี่เยว่หานก็หันศีรษะไปขุดดินต่อ
เมื่อเห็นท่าทางโกรธของหญิงสาว เมิ่งฉีฮ่วนก็รู้สึกสนใจขึ้นมา “ขุดดินคนเดียวมันน่าเบื่อออก ข้าจะคุยกับเจ้าให้เอง!”
“ขอบใจ แต่ข้าไม่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง!” หลี่เยว่หานอยากจะขว้างจอบใส่หัวของเมิ่งฉีฮ่วนนัก!
“ที่จริงเวลาที่ว่าข้าจะค่อนข้างเบื่อ ทำไมเจ้าไม่คุยกับข้าสักพักล่ะ?” เมิ่งฉีฮ่วนพูดอีกครั้ง
“ก็ได้!” หลี่เยว่หานหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ ยืนตัวตรง ใช้มือหนึ่งยันจอบกับดิน และเท้ามืออีกข้างไว้ที่เอว “หากท่านจะคุยกับข้าต้องถูกเก็บเงิน!”