ทะลุมิติไปเป็นหญิงพาลผู้งามเลิศประจำหมู่บ้าน - บทที่ 8 ฮูหยินตระกูลหลิ่ว
บทที่ 8 ฮูหยินตระกูลหลิ่ว
เมื่อได้ยินหลี่เยว่หานพูดถึงแม่ของนาง หลี่ต้าเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะเงียบลงไปครู่หนึ่ง
ขณะที่หลี่เยว่หานคิดว่าการเงียบลงไปของหลี่ต้าเฉิงนั้นเป็นการกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่าง จู่ ๆ หลี่ต้าเฉิงจึงพูดขึ้นมา “น้องสาวของเจ้ากับคุณชายใหญ่หลิ่วมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว หากในตอนนี้เจ้ายังต้องการที่จะแต่งกับตระกูลหลิ่ว นั่นก็เหมือนกับการทำให้สามีภรรยาต้องแยกกัน! พ่อยอมไม่ได้!”
หลี่เยว่หาน “?”
“ไปเถิด ไปพูดกับคุณชายใหญ่หลิ่ว การแต่งงานครั้งนี้ เจ้ายอมให้แก่หรงหรง! เมื่อครู่เจ้าก็พูดไปแล้วว่าการแต่งงานครั้งนี่เจ้ายอมถอย เช่นนั้นก็ไปพูดต่อหน้าคุณชายหลิ่วให้ชัดเจนเสียเถิด!” หลี่ต้าเฉิงเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นท่าทางของหลี่เยว่หาน
หลี่เยว่หานอดกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในใจไม่ได้
หลี่ต้าเฉิงผู้นี้ช่างเป็นแบบจำลองที่สมบูรณ์แบบของหลี่ต้าเฉิงพ่อแท้ ๆ ของเธอจริง ๆ ไม่เพียงแต่ไม่ถามถึงความคิดเห็น ภายในใจยังเต็มไปด้วยความคดโกง มักชอบพูดคำว่า ‘ฉันหวังดีกับแก’ จนติดปาก เขาทำทุกอย่างแล้วมาอ้างว่าหวังดีกับเธอ
“ถ้าจะให้ลูกยอมนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หลี่เยว่หานชันกายลุกขึ้น เดินไปยังหลี่ต้าเฉิงที่ยืนอยู่ตรงประตูพลางพูดขึ้น “ข้าพูดกับแม่เลี้ยงแล้ว ถ้าหากข้ายอมเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ เช่นนั้นต่อไปต้องยอมให้ข้าจัดการเรื่องการแต่งงานเอง พวกท่านไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายได้”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” หลี่ต้าเฉิงคัดค้านขึ้นมาทันที “นับตั้งแต่โบราณ คำสั่งของบิดามารดา การจัดการของแม่สื่อ จะมีเหตุผลให้จัดการด้วยตนเองได้อย่างไรกัน!”
“เช่นนั้น ก็ให้ชั่วชีวิตของหลี่หรงหรงไม่สามารถแต่งงานออกไปได้เถิด ข้าจะยอมเป็นฮูหยินแห่งตระกูลหลิ่วเอง” เมื่อพูดแล้ว หลี่เยว่หานจึงคิดจะเดินออกไปด้านนอก
ชาติที่แล้วเธอไม่เคยคิดที่จะแต่งงาน และยิ่งหลังจากมาที่นี่แบบไม่รู้ตัว ก็ไม่เคยที่จะคิดแต่งงานกับผู้ใด
แต่ถ้าหากเธอไม่ได้รับคำมั่นในการเป็นอิสระเรื่องการแต่งงานนี้ หลี่เยว่หานก็ไม่ถือสาที่จะเป็นฮูหยินแห่งตระกูลหลิ่ว
ในเมื่อตระกูลหลิ่วก็นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่งในอำเภอหย่งหนิง หากแต่งเข้าตระกูลหลิ่วอย่างน้อยก็ยังมีกินมีใช้
เมื่อหลี่เยว่หานกำลังจะเดินผ่านตนไป ในที่สุดหลี่ต้าเฉิงจึงเอื้อมมือไปคว้าแขนบอบบางของนางไว้ “เยว่หาน พ่อรับปากว่าจะจัดการงานแต่งที่ไม่น้อยหน้าตระกูลหลิ่วให้เจ้าอีกครั้ง ดีหรือไม่?”
“เรื่องการแต่งงานระหว่างตระกูลหลิ่วนั้น เป็นเพราะท่านแม่ใช้บุญคุณในการช่วยชีวิตเพื่อแลกมา” หลี่เยว่หานมองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาเย็นชา “ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะมีวิธีใด ที่จะเปลี่ยนการแต่งงานที่ไม่น้อยหน้าเช่นนี้กับตระกูลหลิ่วได้”
“นี่…” ทุกครั้งที่หลี่เยว่หานพูดถึงมารดาของตนที่จากไปแล้วนั้น ภายในใจของหลี่ต้าเฉิงก็มักจะรู้สึกผิดต่อลูกสาวคนโตตรงหน้าผู้นี้เสมอ
แต่เมื่อคิดไปถึงหวังเฟิ่ง และคิดไปถึงลูกสาวคนรองที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณชายใหญ่หลิ่วนั่นแล้ว ความเท่าเทียมกันในจิตใจของหลี่ต้าเฉิงก็มักจะเกิดความลาดเอียงขึ้นมา “อย่างน้อย พ่อก็รับปากเจ้าว่าจะหาลูกเขยที่ทำให้เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องกินเรื่องใช้ได้ ดีหรือไม่?”
“ข้าพูดไปแล้ว ให้ข้าจัดการเรื่องการแต่งงานได้อย่างอิสระ แล้วข้าจะยอมปล่อยเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ไป” หลี่เยว่หานยังไม่ยอมแพ้ “แต่ถ้าหากท่านพ่อคิดว่าสามารถจัดการแต่งงานที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าตระกูลหลิ่วได้ เช่นนั้นข้าก็จะรอตามที่ท่านพ่อรับปาก หลังจากนั้นข้าค่อยมอบการแต่งงานครั้งนี้ให้แก่หลี่หรงหรง เช่นนี้ก็ยังไม่สายเกินไป”
“…” หลี่ต้าเฉิงครุ่นคิดขึ้นมา
เขามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ที่ไหนกัน!
เมื่อเห็นหลี่ต้าเฉิงเงียบไป หลี่เยว่หานจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา “ดูเหมือนท่านพ่อจะไม่มีทางเลือกเสียแล้ว เช่นนั้นทำตามที่ข้าบอกเถิด อนุญาตให้ข้าได้จัดการเรื่องการแต่งงานอย่างอิสระเถิด”
“นี่…” หลี่ต้าเฉิงยังไม่ทันได้พูดใด ๆ หลี่เยว่หานก็เดินออกจากประตูไปเสียแล้ว
“ข้าจะไปเชิญท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านมาเป็นพยาน!” เมื่อพูดแล้ว หลี่เยว่หานก็วิ่งหายไปทันที
ในขณะนั้น หลี่ต้าเฉิงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา!
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอับอายของครอบครัว! จะไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาได้อย่างไร! หากไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาก็ไม่เท่ากับว่าป่าวประกาศเรื่องนี้ให้คนทั่วหมู่บ้านเฮยถู่ได้รู้หรือ ว่าเขาเพิกเฉยต่อการที่ลูกคนโตถูกแย่งการแต่งงานที่เตรียมไว้เช่นนี้ไปหรือ!
เช่นนี้ ต่อไปหลี่ต้าเฉิงจะอยู่ในหมู่บ้านเฮยถู่ได้อย่างไรกัน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว หลี่ต้าเฉิงจึงรีบวิ่งตามออกไปทันที
หลี่หานเยว่เดาได้ว่าหลี่ต้าเฉิงจะตามเธอออกมา ทันทีที่วิ่งออกนอกประตู เธอจึงรีบซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่ง
ตามที่เธอคาดเอาไว้ เธอวิ่งออกมาเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หลี่ต้าเฉิงก็รีบตามออกมา วิ่งตรงไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน
เห็นเช่นนี้แล้วหลี่เยว่หานก็เดินออกมาจากมุมที่หลบอยู่ มองแผ่นหลังของหลี่ต้าเฉิงที่จากไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะเคาะประตูบ้านอาโจวที่อยู่ข้างกัน
“โอ้ เยว่หานเกิดอะไรขึ้นหรือ?” ยามนี้เป็นเวลาอาหาร ครอบครัวของอาโจวเพิ่งจะทานข้าวกันเสร็จ “เจ้ากินข้าวหรือยัง หากยังก็เข้ามากินอะไรก่อนเถอะ”
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะท่านอา” หลี่เยว่หานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย “ข้ามาเพราะต้องการความช่วยเหลือจากท่านอา หากแต่ไม่รู้ว่าท่านอาจะว่างหรือไม่?”
อาโจวชอบนินทาเป็นที่สุด เป็นที่ทราบกันทั่วว่ารถม้าของตระกูลหลิ่วจอดอยู่หน้าบ้านตระกูลหลี่ ทว่าเห็นแก่หน้าตระกูลหลิ่ว จึงไม่มีผู้ใดกล้าไปสอดรู้
กล่าวโดยปกติแล้ว คุณชายใหญ่หลิ่วมีสัญญาหมั้นหมายกับหลี่เยว่หาน ดังนั้นเขาก็ควรมาพบหลี่เยว่หาน ทว่ายามนี้หญิงสาวกลับปรากฏตัวที่นี่ เพื่อขอความช่วยเหลือจากนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
“มีเรื่องอันใดก็พูดมาเถอะ ท่านอาผู้นี้กำลังว่างอยู่!” อาโจวขยับแขนเสื้อขึ้นจนถูกมุมปาก หัวใจของคนช่างนินทากำลังเต้นกระหน่ำ
“ข้าต้องการให้ท่านอาโจวช่วยเชิญท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านมา” พูดแล้วหลี่เยว่หานก็ก้มหน้าลง “นี่เกี่ยวกับการแต่งงานของข้า ข้าคิดว่าหากให้ท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านมาช่วยเป็นพยานจะดีกว่า”
ได้ยินเช่นนี้ ป้าโจวก็อดเบิกตากว้างขึ้นมาไม่ได้ “น้องสาวหานเยว่ เจ้าคงไม่ได้ต้องการยกเลิกการแต่งงานกับตระกูลหลิ่วใช่หรือไม่?”
“ไม่!” หลี่เยว่หานรีบปฏิเสธขึ้นมา ดวงตาคู่โตหลากรินด้วยน้ำตาจนทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกใจอ่อนลง “เพียงแค่… เพียงแค่ที่บ้านของข้ามีปัญหาเล็กน้อย การแต่งงานครั้งนี้อาจต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่าง หลังจากคิดดูแล้ว ผู้ที่เที่ยงธรรมน่านับถือมากที่สุดก็คือท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้าน ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านอาโจวช่วยเชิญท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านมาด้วย”
“ไม่มีปัญหาอันใด ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” กล่าวจบแล้ว อาโจวก็แทบจะวิ่งตะบึงออกไป
หลี่เยว่หานรีบหยุดนางเอาไว้ด้วยสีหน้าลังเล จากนั้นจึงกล่าวออกมาว่า “หากท่านพบพ่อของข้า โปรดอย่าบอกเขาว่าท่านได้พบข้าและกำลังไปเชิญท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านได้หรือไม่?”
ภายในใจของอาโจวเต็มไปด้วยเรื่องนินทา นอกจากนี้หลี่เยว่หานยังเป็นผู้ที่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต จึงไม่ติดใจอะไรกับคำขอนี้ นางจึงพยักหน้าตอบตกลง
หลี่เยว่หานเอียงหัวมองไปยังแผ่นหลังของอาโจว ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
หลังจากนั้น หญิงสาวก็กลับไปยังบ้านตระกูลหลี่
หวังเฟิ่งมองหลี่เยว่หานวิ่งออกไป ก่อนที่หลี่ต้าเฉิงจะวิ่งตามไป เดิมทีนางยังคงเป็นกังวล แต่เมื่อเห็นหลี่เยว่หานกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ นางก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้ นางไม่ได้สนใจเลยว่าหลี่ต้าเฉิงอยู่ไหน
“เยว่หาน มานั่งลงก่อนเถอะ” หวังเฟิ่งแสดงท่าทางดั่งมารดาที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา เรียกให้หลี่เยว่หานนั่งลง
“คุณชายใหญ่หลิ่วมีเรื่องบางอย่างต้องการจะบอกเจ้า หวังว่าเจ้าจะรับฟัง” หวั่งเฟิ่งกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่แสดงอารมณ์อย่างเต็มเปี่ยม
“อืม” หลี่เยว่หานก้มหัวลง สีหน้าราวกับกำลังประสบเรื่องราวเลวร้าย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่หรงหรงก็ยื่นมืออกไปดันหลิ่วจื้อหยวนอย่างรวดเร็ว
หลิ่วจื้อหยวนกระแอมออกมา จากนั้นเขาก็มองไปที่หลี่เยว่หาน “น้องสาวเยว่หาน แม้พวกเราจะมีสัญญาหมั้นหมายกัน แต่ตอนนี้ข้ากับหรงหรงต้องใจกัน หากยังคงยึดติดกับการหมั้นหมาย เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเล็กน้อย”
ยึดติด?
หลี่เยว่หานเกือบหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “เช่นนั้นคุณชายหลิ่วกล่าวมาเถิด ว่าข้าควรจะทำเช่นไร?”
“ยกการหมั้นหมายนี้ให้กับหรงหรง อย่างไรเสียนางก็เป็นน้องสาวของเจ้า ให้นางแต่งงานกับข้าย่อมไม่ถือว่าผิดข้อตกลงเดิม” หลี่จื้อหยวนกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยเหตุผล