ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 100 ให้ยืมได้พันห้าร้อยหยวน
ตอนที่ 100 ให้ยืมได้พันห้าร้อยหยวน
เจินเหมียวหงเดินไปต้มน้ำ จากนั้นก็ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นลง เพื่อให้ชงนมได้ขณะที่น้ำยังอุ่นอยู่
เหรินเหรินน้อยเห็นแม่ของเขานำขวดนมและนมผงออกมาก็รู้ว่าเขาจะได้ดื่มนมแล้ว จึงตบมืออย่างมีความสุขพร้อมกับยิ้มกว้าง
“ไอ้หยา เขารู้ว่าจะได้ดื่มนมด้วย ท่าทางดีใจใหญ่เชียว” เจินเหมียวหงเห็นแล้วก็รู้สึกว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยาก หล่อนอุ้มเหรินเหรินน้อยขึ้นพร้อมกับยิ้ม
หล่อนมีลูกชายและลูกสาวอย่างละคน แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ทั้งสองต่างอยู่ในเมืองมหาวิทยาลัย ซึ่งในเมืองมหาวิทยาลัยก็มีโรงเรียนมัธยมปลายอยู่แห่งหนึ่งซึ่งลูกทั้งสองคนของหล่อนกำลังเรียนอยู่ และในปีนี้ผู้เป็นลูกชายก็จะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
ปีนี้ลูกสาวของหล่อนอยู่ในชั้นมัธยมปลายปีที่ 2 ทั้งคู่ล้วนโตแล้วและใช้ชีวิตอย่างอิสระ ห่างจากเหรินเหรินน้อยไปหลายปีเลย
แม้เหรินเหรินน้อยจะมองหล่อนอย่างไม่คุ้นชิน แต่เขาก็มองเห็นแม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และไม่ส่งเสียงอะไรใด ๆ ออกมา
ซูตานหงให้เขาดื่มน้ำไปก่อน เพราะถ้าให้เขารอนานกว่านี้ เขาจะเริ่มงอแงใส่
“อีกไม่กี่วันนี้พี่จะไปที่เมืองมหาวิทยาลัยแล้วนะ เด็กคนนั้นกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย พี่ต้องไปดูแลเรื่องอาหารการกินให้เขาในช่วงนี้แหละ” เจินเหมียวหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ซูตานหงพยักหน้าแล้วบอกว่า “สอบเข้ามหาวิทยาลัยถือเป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ พี่หงต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดี ๆ เลยล่ะค่ะ”
เธอเองก็ได้เจอลูกสาวของเจินเหมียวหงมาแล้ว พวกเขาได้มาหาที่บ้านเธอในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา มีเพียงสามีของเจินเหมียวหงเท่านั้นที่เธอกับจี้เจี้ยนอวิ๋นยังไม่ได้เจอหน้า แต่ได้ยินว่าเขาอยู่อีกมณฑลหนึ่งและไม่ได้กลับมาในช่วงปีใหม่ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ถามมากว่าเขาทำงานอะไร คงไม่ใช่อาชีพไร้เกียรติแต่เป็นอาชีพที่เกี่ยวกับทางรัฐกระมัง เพราะหลายปีมานี้ได้มีการพัฒนาทุกแห่งหน จึงเป็นธรรมดาที่จะยุ่ง
เมื่อน้ำอุ่นลงแล้ว ซูตานหงก็ชงนมผงและให้เหรินเหรินน้อยผู้งอแงมาพักใหญ่แล้วดื่ม หลังจากได้ดื่มนมแล้ว เหรินเหรินน้อยที่กำลังงอแงอยู่ก็เงียบสงบลง และสีหน้าน้อย ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ซูตานหงคุยกับเจินเหมียวหงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พาเหรินเหรินน้อยไปที่ร้านที่ซูจิ้นตั๋งเป็นคนดูแลในตอนสิบโมงครึ่ง
“น้องสามีมาอยู่นี่เอง” สะใภ้รองซูมีสีหน้าดีใจเมื่อเห็นเธอ หลังดูแลลูกค้าเสร็จแล้วหล่อนก็รีบออกมาต้อนรับพวกเขา
“พี่สะใภ้รอง ตอนนี้พี่กำลังยุ่งอยู่ ทำงานเสร็จแล้วค่อยคุยก็ได้ค่ะ” ซูตานหงยิ้ม
สะใภ้รองซูพยักหน้ารับ ก่อนไปทักทายคุณป้าสองคนที่มาซื้อผักและขายให้กับพวกนาง คุณป้าคนหนึ่งถามหาต้นหอม หล่อนก็แถมให้โดยไม่คิดเงิน ซึ่งทำให้คุณป้าทั้งสองคนดีใจมาก
ซูตานหงมองเห็นแล้วก็ต้องบอกว่าสะใภ้รองซูมีหัวการค้าจริง ๆ
ในสายตาของชาวบ้านทั่วไป ต้นหอมนี้แทบจะไม่มีราคาค่างวดใด ๆ เลย แต่สำหรับคนเมืองบางคนที่ไม่มีที่ดินของตัวเองนั้นต้องซื้อเอา ซึ่งการที่หล่อนแถมให้โดยไม่คิดเงินนี้ก็ได้ดึงดูดความสนใจของลูกค้าคนอื่น ๆ และช่องว่างที่ปรากฏบนชั้นวางของก็เป็นที่ประจักษ์กับคนอื่น ๆ เช่นกัน
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ บวกกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว ธุรกิจนี้จะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน
“ทำไมน้องสามีมาคนเดียวล่ะจ๊ะ? แล้วเจี้ยนอวิ๋นไปไหนล่ะ?” สะใภ้รองซูยิ้ม
“ตอนนี้เขายุ่งอยู่น่ะค่ะ ฉันก็เลยพาเหรินเหรินออกมาเดินเล่น กิจการเป็นไปด้วยดีไหมคะ?” ซูตานหงเอ่ย
เมื่อกล่าวถึงกิจการ สะใภ้รองซูก็มีสีหน้าแช่มชื่นอย่างเห็นได้ชัด กับคนอื่น ๆ หล่อนไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่กับซูตานหงนั้นหล่อนเล่าเสียหมดเปลือก
ตอนนี้ซูจิ้นตั๋งตระเวนไปรับผักจากชาวบ้านทั่วทั้งชนบทมาขายทุกวัน เพราะมันเป็นการเก็บเกี่ยวเพียงครั้งเดียว ซึ่งคนในหมู่บ้านก็คิดให้ในราคาที่ถูก การมีคนมาขนสินค้าไปขายในเมืองให้นั้นช่วยลดภาระของพวกเขาไปได้มาก และซูจิ้นตั๋งเองก็ได้ส่วนต่างจากตรงนี้เช่นกัน
ส่วนต่างราคาถือว่าไม่มากนัก แต่ก็ไม่อาจคิดให้ต่างกันมากได้ ในแต่ละวันหากหักค่าน้ำมันออกไปก็จะได้เงินเกือบ 2 หยวน คิดเป็น 2 หยวนต่อวัน ถ้าต่อเดือนก็จะเป็น 50-60 หยวนเลยทีเดียว!
แม้เงินเดือนของทุกคนจะเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ก็ขึ้นแค่ 25 หยวนต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ถือว่าเพิ่มขึ้นมากแล้ว แถมพวกเขายังมีเงินที่ได้จากการขายไข่และไก่อีก เมื่อถึงสิ้นเดือนพวกเขาก็คงจะมีรายรับอย่างน้อยเกือบ 100 หยวน!
สะใภ้รองซูไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าชีวิตมันจะง่ายขนาดนี้!
แล้วค่าใช้จ่ายที่บ้านก็ไม่ได้เยอะมากนัก ดังนั้นจึงสามารถเก็บเงินไว้ได้
สภาพจิตใจของสะใภ้รองซูในตอนนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ในตอนนั้นหล่อนยังรู้สึกเศร้าโศกอยู่บ้าง แต่ตอนนี้หล่อนกลับมีพลังเต็มเปี่ยม และยังแข็งแกร่งมีชีวิตชีวาไม่น้อยด้วย
ตอนนี้หล่อนมีแรงใจที่จะใช้ชีวิตต่อแล้ว ลูกชายก็เพิ่งเกิด ส่วนจิ้นตั๋งก็เจริญก้าวหน้า หล่อนจะมีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอีก?
ได้ยินผลกำไรที่หล่อนพูดแล้ว ซูตานหงก็ยิ้มออกมา “จริงสิ พี่ชายรองกับหลานชายของฉันไปไหนแล้วล่ะคะ?”
“สือโถวกำลังหลับอยู่ ส่วนจิ้นตั๋งกำลังเชือดไก่อยู่ข้างใน เดี๋ยวจะมีลูกค้ามารับหลังจากนี้น่ะจ้ะ” สะใภ้รองซูกล่าว
ซูตานหงพยักหน้า จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนเจอร้านนี้ แม้ทำเลจะไม่ค่อยมีคนผ่านมากนัก แต่มันก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลความเจริญ แถมที่แห่งนี้ยังกว้างมากด้วย สามารถใช้ด้านนอกเป็นที่ขายของได้และมีบ้านให้อาศัยอยู่ในตัว
ซูตานหงกำลังจะพูดอะไรอย่างหนึ่ง ก็มีคุณลุงคนหนึ่งเข้ามาซื้ออาหารพร้อมกับหลานสาวที่ถือกระเป๋านักเรียนอยู่พอดี เธอจึงพูดว่า “งั้นฉันเข้าไปหาพี่รองก่อนนะ”
“จ้ะ” สะใภ้รองซูตอบ จากนั้นก็ไปรับลูกค้า
ซูตานหงเข้ามายังลานด้านใน ซึ่งซูจิ้นตั๋งเชือดไก่เสร็จแล้วและกำลังทำความสะอาดลาน
เมื่อเห็นเธอเข้ามา เขาก็ยิ้มและเอ่ยขึ้น “ตานหง ทำไมมาที่นี่ล่ะ? แล้วเจี้ยนอวิ๋นมาด้วยไหม?”
“เขาไม่ได้มาด้วยหรอกค่ะ ฉันพาเหรินเหรินมาเดินเล่น ไว้วันหลังพี่รองไปเดินเล่นด้วยกันนะคะ วันนี้ฉันลืมเอาร่มออกมาด้วยน่ะค่ะ” ซูตานหงบอก
“ได้สิ” ซูจิ้นตั๋งพยักหน้า แล้วก็เอ่ยต่อ “ตานหง เธอเข้าไปอยู่ในห้องกับเหรินเหรินก่อนนะ ลานตรงนี้กลิ่นแรงมาก พี่ต้องล้างทำความสะอาดก่อนล่ะ”
ซูตานหงเห็นเหรินเหรินน้อยย่นหน้าในทันที เธอก็ยิ้มและอุ้มเด็กน้อยเข้าไปข้างใน
ส่วนลานบ้านนั้นห่างจากตัวบ้านอยู่บ้าง แม้ในตอนที่เดินเข้าบ้านจะมีกลิ่นคาวอยู่เล็กน้อย แต่มันก็จางลงไปหลายส่วน
“พี่รอง ตอนนี้ธุรกิจกำลังคล่องตัวมาก พี่มีความคิดจะซื้อบ้านหลังนี้หรือเปล่าคะ?” ซูตานหงถาม
“ซื้อบ้านเหรอ?” ซูจิ้นตั๋งชะงักไป จากนั้นก็ส่ายหน้า “มันต้องใช้เงินมากเลยนะ”
บ้านหลังนี้ดูดีจริง ๆ และเพิ่งสร้างมาไม่กี่ปีเท่านั้น เพราะเจ้าของบ้านตรงนี้มีธุรกิจอยู่ในเมืองเจียงสุ่ยและมาซื้อบ้านหลังนี้เก็บไว้ ทันทีที่ครอบครัวของพวกเขาย้ายไปเมืองเจียงสุ่ยแล้ว ต่อให้ต้องเก็บค่าเช่าหนึ่งครั้งต่อปี ก็ยังดีกว่าให้พวกเขาถ่อมาจากเมืองเจียงสุ่ยเพื่อมาเก็บค่าเช่าทุกเดือน
กล่าวตามตรงก็คือถ้าซื้อบ้านหลังนี้ได้ มันก็จะเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งซูจิ้นตั๋งเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว ในอนาคตเขาจะมาอยู่ในเมืองและไม่กลับไปที่ชนบทอีก แต่การเช่าบ้านอยู่นั้นไม่ใช่การแก้ปัญหา เขาจะต้องซื้อบ้านสักหลังในเมืองให้ได้
“พี่เคยบอกไว้ว่ามันราคาเท่าไหร่นะคะ?” ซูตานหงถาม
“พี่ได้ยินเจี้ยนอวิ๋นบอกว่าตอนแรกเจ้าของบ้านอยากจะขายบ้านหลังนี้ แต่ขายในราคา 2,500 หยวน พี่จะไปหาเงินเยอะแบบนั้นได้จากไหนล่ะ? ก็เลยต้องเช่าอยู่ไปก่อน” ซูจิ้นตั๋งบอก
2,500 หยวนเหรอ?
ซูตานหงมองบ้านนี้แล้วก็พบว่ามันไม่แพงนัก มันมีสามห้อง ห้องครัวห้องหนึ่ง ห้องน้ำแยกห้องหนึ่ง ซึ่งสภาพโดยรวมนั้นยังใหม่อยู่ แถมด้านนอกยังมีหน้าร้านด้วย ซึ่งเจ้าของบ้านน่าจะสร้างไว้เพื่อทำธุรกิจโดยเฉพาะ ทุกอย่างรวมอยู่ในตัวหมดแล้ว
“งั้นตอนนี้ก็เช่าอยู่ไปก่อนแล้วกันค่ะ ไม่ต้องรีบร้อนนัก พี่รองหาเงินให้ได้ก่อน เมื่อไหร่ที่พี่อยากจะซื้อก็มาหาฉันนะคะ ฉันจะให้พี่ยืมอีก 1,500 หยวน” ซูตานหงบอก
…………………………