ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 105 มีความสุขอีกครั้ง
ตอนที่ 105 มีความสุขอีกครั้ง
ทันทีที่เขานำน้ำผึ้งกลับไป ภรรยาของเขาก็ชอบมันมาก หลังได้ดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งแล้วสีหน้าของเธอก็ดูดียิ่งขึ้น
“เป็นลมแดดหรือเปล่าน่ะ คุณอยากไปโรงพยาบาลไหม?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยขณะใช้หลังมือแตะหน้าผากของเธอด้วยท่าทางเป็นห่วง
“อากาศช่วงนี้แค่ร้อนไปหน่อย คงไม่ถึงกับต้องไปโรงพยาบาลหรอกค่ะ” ซูตานหงเอ่ยอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องจริงจังนัก
เธอแค่รู้สึกว่าท้องไส้ตัวเองกำลังปั่นป่วนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไร และต่อให้วันนี้จะเป็นวันที่อากาศร้อน เธอก็ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว เลือกที่จะอยู่บ้านเพื่อหลบเลี่ยงความร้อนแทน หากเธอเป็นลมแดดอีกครั้ง นั่นแสดงว่าร่างกายของเธออ่อนแอขนาดไหนกันนะ?
แต่เรื่องเบื่ออาหารนี้ยอมรับว่าเธอเป็นเช่นนี้จริง จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ และคะยั้นคะยอให้เธอกินแต่ละชิ้น ส่วนตัวเขามองภรรยากินแอปเปิลต่อหน้าจนกระทั่งถึงตอนที่เธอฟุบหลับคาโต๊ะไป
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อเห็นเธอหลับฟุบคาโต๊ะในชั่วพริบตาเดียว เขาจึงอุ้มพาเธอกลับเข้าห้องไปที่เตียง จากนั้นก็บอกให้ต้าเฮยคอยเฝ้าไว้ ส่วนตัวเขาพาเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินน้อยเดินขึ้นภูเขา
คุณแม่จี้เห็นเข้าก็เอ่ยขึ้น “ทำไมแกถึงพาพี่สาวน้องชายคู่นี้มาด้วยล่ะ?”
“ตานหงกำลังหลับน่ะครับ ผมกลัวว่าพวกเขาจะรบกวนหล่อน แม่คอยดูแลพวกเขาด้วยนะครับ ผมขอกลับไปทำกับข้าวก่อน” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“หลับในเวลานี้เนี่ยนะ เกิดอะไรขึ้น ตานหงไม่สบายเหรอ?” คุณแม่จี้ถามรัวเร็วด้วยความงุนงง
ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงใกล้จะได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ยังจะหลับได้อีกเหรอ?
“คือว่าหมู่นี้หล่อนไม่ค่อยมีแรงเลยน่ะครับ แถมยังเบื่ออาหาร วันหนึ่งกินแค่ไม่กี่คำก็ไม่กินอีกแล้ว ผมเพิ่งจะปอกแอปเปิลให้กินเมื่อครู่นี้ จากนั้นหล่อนก็หลับไปหลังจากกินเสร็จเลยน่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยอย่างจนใจ
คุณแม่จี้ได้ยินดังนี้ก็เอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ว่าตานหงท้องนะ?” ถ้าเกิดท้องขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะตอนนี้มีนโยบายว่าให้มีลูกได้แค่คนเดียว ไม่อย่างนั้นก็จะต้องเสียค่าปรับมหาศาล
เมื่อได้ยินคำว่าตั้งครรภ์ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ชะงักไป “ไม่น่าใช่?”
“รอบเดือนครั้งสุดท้ายของหล่อนมาตอนไหน?” คุณแม่จี้ที่ในใจเชื่อไปแล้วก็ได้เอ่ยขึ้น
จี้เจี้ยนอวิ๋นนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ภรรยาของเขามีรอบเดือน แล้วก็พบว่าเดือนนี้มันยังไม่มา
“นั่นไงล่ะ เอาล่ะ ไปหาเวลาเอาออกเสียนะ เสร็จแล้วอย่าลืมไปผูกหมันไว้ด้วยล่ะจะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดแบบนี้อีก” คุณแม่จี้บอก
จี้เจี้ยนอวิ๋นถึงกับชะงักไป “แม่พูดอะไรน่ะครับ เราต้องการเด็กคนนี้นะครับ”
คุณแม่จี้มองเขาอย่างประหลาดใจ “แกก็มีเหรินเหรินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ถ้าไม่มีลูกชายก็ไม่เป็นไรหากจะมีลูกอีกคน แต่ในเมื่อมีลูกชายอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีลูกเพิ่ม
“แม่ครับ ตอนนี้ผมลาออกจากกรมแล้วนะครับ ถ้าตอนนี้ผมยังอยู่ในกรมแล้วต้องมีลูกคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ผมลาออกแล้ว ผมจะมีอีกก็ได้ไม่เป็นไรหรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
ถ้ายังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองทัพ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก แต่สำหรับครอบครัวของเขาแล้วไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
“แกต้องเสียค่าปรับเป็นร้อยหยวนเลยนะ ที่แกมีลูกเพิ่มก็เพราะร้อนใจไม่รู้จะใช้เงินที่มีมากเกินไปกับอะไรใช่ไหม?” คุณแม่จี้เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาเอ่ยคำไหนคำนั้น
“นั่นก็หมายความว่าจะมีเด็ก ๆ มากขึ้นไม่ใช่เหรอครับ? แม่อย่าเป็นห่วงเลยครับ ตานหงกับผมรู้เรื่องนี้ดี” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
ในเรื่องของการมีลูก ทั้งเขาและภรรยาต่างมีความเห็นตรงกัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกว่าถ้ามีลูกคนเดียวก็จะดูเหงาเกินไป มีอย่างน้อยสักสองคนน่าจะกำลังดี หลังจากนั้นในภายภาคหน้าก็ค่อยมีเพิ่ม
การมีลูกเกินแน่นอนว่าต้องเสียค่าปรับ แต่สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว การเสียเงินค่าปรับหลายร้อยหยวนในคราวเดียวนั้นไม่ต่างอะไรกับการล้มละลาย ทว่าครอบครัวเขายังมีปัญญาจ่ายเงินส่วนนี้ไหวอยู่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีลูกเพิ่มเถอะ
จี้เจี้ยนอวิ๋นฝากเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินน้อยให้อยู่ในความดูแลของคุณแม่จี้ ก่อนที่ตัวเขาจะเดินลงมาจากภูเขา
เขากลับเข้าไปในห้องเพื่อดูภรรยาที่กำลังนอนหลับอยู่ จากนั้นก็เข้าครัวเพื่อหุงโจ๊กมาให้ภรรยากิน ต่อมาก็ทำกับข้าว ช่วงนี้ภรรยาของเขาต้องกินอาหารอ่อนรสไม่จัดนักเข้าไว้
หลังเตรียมอาหารของภรรยาเสร็จเรียบร้อย เขาก็ทำกับข้าวให้ตัวเองกินต่อ
เมื่อส่งอาหารกลางวันไปให้คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้แล้ว เขาก็อุ้มเหรินเหรินน้อยลงมาโดยปล่อยให้เยียนเอ๋อร์อยู่กับคุณปู่คุณย่าบนนั้น แล้วก็ชงนมให้เหรินเหรินน้อยนั่งดูดกินอยูบนพรม ส่วนตัวเขาเองนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะ
เมื่อซูตานหงตื่นขึ้น มันก็เลยเวลาอาหารแล้ว เธอหลับไปนานกว่าสองชั่วโมงทีเดียว
ในตอนที่เธอตื่นขึ้น จี้เจี้ยนอวิ๋นกับเหรินเหรินน้อยก็เล่นกันอยู่ข้างนอก จนได้ยินเสียงหัวเราะของเหรินเหรินน้อยดังแว่วมา
ซูตานหงลุกขึ้นและเดินออกมา จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นแล้วก็รีบเข้าไปประคองเธอในทันทีและเอ่ยขึ้น “ภรรยา คุณคงหิวแล้ว ผมจะไปเอาข้าวมาให้นะ”
“พอมีโจ๊กอยู่ไหมคะ?” ซูตานหงถาม ตอนนี้เธออยากกินโจ๊กมาก
“มีครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า และให้เธอนั่งลง ก่อนไปนำชามโจ๊กมาให้
ซูตานหงหิวมากจริง ๆ เช่นกัน หลังกินโจ๊กไปสองชามและกินผักดองเข้าไปบ้างแล้ว เธอก็วางชามกับตะเกียบลง
“คุณไม่กินแล้วเหรอ?”จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดอย่างอดไม่ได้
“ฉันอิ่มแล้วน่ะค่ะ”ซูตานหงพยักหน้า
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงกินในส่วนที่เหลือและเอ่ยขึ้น “ภรรยาครับ คุณตั้งใจฟังให้ดี ๆ นะ คุณแม่บอกว่าคุณกำลังท้อง”
“ท้อง?” ซูตานหงชะงักงันไป
“เรามีลูกด้วยกันแล้วหนึ่งคนนะ คุณไม่รู้เหรอ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของเธอฉายแววสับสน
ซูตานหงไม่รู้จริง ๆ และไม่คิดมาก่อนด้วย เธอจึงลองจับชีพจรดูแล้วก็พบว่ามันมีเพิ่มมาอีกหนึ่ง ชัดเจนว่าเธอกำลังตั้งท้อง
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?” พูดตามตรงแล้วซูตานหงก็อึ้งไปเหมือนกัน เธอคิดว่ากว่าจะมีลูกก็น่าจะนานกว่านี้ แต่เมื่อนับเวลาดูแล้วก็พบว่าท้องนี้ขึ้นตั้งแต่สิ้นเดือนที่แล้วที่เธออยู่กับจี้เจี้ยนอวิ๋น
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม “ตอนนี้คุณก็ต้องกินอะไรให้อร่อยนะ มีพวกคุณอยู่ตั้งสองคน”
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกค่ะ นี่เป็นเรื่องปกติของฉัน อีกไม่กี่วันก็หาย” ซูตานหงยิ้ม
ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ก็เป็นแบบนี้ แต่จะว่าไปแล้วเธอไม่มีอาการแบบนี้เลยตอนท้องเหรินเหริน เธอทั้งกินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันสบายกว่ามากราวกับไม่มีอาการแพ้ใด ๆ แต่ครั้งนี้อาการแพ้ท้องกลับสาหัสไม่น้อย
แม้เธอเกือบจะแน่ใจแล้วว่าตัวเองตั้งครรภ์ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยังพาเธอเข้าไปที่คลินิกในเมืองเพื่อยืนยันผล หลังจากพิสูจน์ผลออกมาแน่ชัดว่าท้องแล้วเธอก็กลับบ้านด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง
ซูตานหงไม่ได้เอ่ยอะไรเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ เพราะอายุครรภ์ยังอ่อนเดือนมาก แถมการตรวจจับการตั้งครรภ์ในช่วงนี้ก็เข้มงวดมากด้วย
แต่พวกเขามีบ้านอยู่ในเมืองเจียงสุ่ยแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกังวล เรื่องสำคัญก็คือการที่พวกเขาต้องย้ายไปเมืองเจียงสุ่ยเพื่อไปเลี้ยงเด็ก เรื่องนี้ไม่ถือว่าลงตัวหรอกหรือ?
ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ ซูตานหงก็โล่งใจ เธอจึงเริ่มทำอะไรตามใจอยาก และนอนพักนานเท่าที่จะนานได้ ส่วนอาหารการกินนั้นเธอก็ไม่ได้กินอะไรมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของเธอก็ดูดีเช่นกัน
ส่วนเยียนเอ๋อร์นั้นก็ให้คุณแม่จี้เป็นผู้ดูแล ตอนนี้เธอไม่มีกำลังพอจะดูแลหรอก ซึ่งเหรินเหรินนั้นก็มีจี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนดูแลเสียส่วนใหญ่
ในตอนแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากเดือนที่สองเกือบเข้าเดือนที่สาม อาการเหล่านี้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตัวเธอเองก็รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้น และมีความอยากอาหารมากขึ้น ขนาดที่สามารถกินทุกอย่างที่ขวางหน้าได้
และในตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนเก้าแล้ว ต้นไม้ผลบนภูเขาต่างเจริญเติบโตเต็มที่ อย่างเช่นต้นพุทรา แตงโมที่คุณแม่จี้เป็นคนปลูก ส่วนแตงโมที่อยู่ในสวนหลังบ้านของซูตานหงนั้นถูกกินจนหมดเมื่อนานมาแล้วนี่เอง
บนภูเขามีการเก็บเกี่ยวผลไม้อีกครั้ง และซูตานหงก็มาช่วยงานนี้ด้วย แต่แน่นอนว่าไม่ได้ช่วยงานบนภูเขา หากเป็นการส่งอาหารให้เยียนเอ๋อร์ เหรินเหริน และครอบครัวของเธอ
…………………………………………