ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 109 เข้าเมืองมหาวิทยาลัยอีกครั้ง!
ตอนที่ 109 เข้าเมืองมหาวิทยาลัยอีกครั้ง!
ท้องของซูตานหงเริ่มนูนพองอย่างเห็นได้ชัด เธอตั้งครรภ์มาตั้งแต่เดือนหก และตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงปลายเดือนเก้าแล้ว นับเวลาดูก็เท่ากับ 4 เดือนพอดี
นอกจากไม่มีอาการเบื่ออาหารเหมือนในช่วงแรกเริ่มแล้ว หลังผ่านพ้นช่วงอาการแพ้ท้องเหล่านั้นไป เธอก็กินจุขึ้นอย่างมหาศาล โดยกินเป็นปริมาณมากเกือบจะเท่ากับชายร่างใหญ่อย่างจี้เจี้ยนอวิ๋นเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้กินเยอะ
แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็พูดกับเธอว่า “คุณกินเยอะแค่ไหนก็กินไปเถอะ อย่าปล่อยให้ตัวเองหิวเลย ตอนนี้คุณมีลูกเพิ่มมาอีกคนแล้ว เป็นธรรมดาที่จะต้องกินเยอะไม่ใช่เหรอ?”
เห็นภรรยากินจุไม่หยุดปากขนาดนี้แล้วจี้เจี้ยนอวิ๋นก็มีความสุข และบอกให้แม่ของเขาคั่วเกาลัดมาให้ภรรยากินเป็นจำนวนมาก มันมีรสชาติไม่เลวเลย เพียงแต่ต้องใช้เวลาคั่วนานเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องกินให้หมด ส่วนคุณพ่อจี้นั้นกำลังเตรียมตาข่ายตากลูกพลับ ขณะที่คุณแม่จี้เก็บไข่ไก่ทุกวัน แม้ว่าจะมีสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินอยู่แล้ว คุณแม่จี้ก็ยังช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่งานหนักเลย
จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังเก็บน้ำผึ้งจากรวงอยู่ ตอนนี้มีน้ำผึ้งเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีอยู่เต็มทุกรวง เกรงว่าหลังเก็บมาได้คงจะมีปริมาณเป็นร้อยชั่ง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นน้ำผึ้งที่ผึ้งนำมาเก็บไว้ในช่วงที่ดอกไม้บนภูเขากำลังเบ่งบานเมื่อไม่กี่เดือนมานี้
น้ำหวานจากดอกไม้นานาพรรณถูกเก็บสะสมรวมไว้จนไม่มีชนิดไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ ทั้งบริสุทธิ์และหวานกลมกล่อมมาก
จี้เจี้ยนอวิ๋นสั่งขวดโหลขนาด 2 ชั่งมาเป็นพิเศษ หลังจากที่เขากลับมา เขาก็เติมน้ำผึ้งลงไปในโหล ซึ่งน้ำผึ้งพวกนี้ล้วนเป็นน้ำผึ้งชั้นยอดที่เขากะจะนำไปขายในเมืองมหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตอนนี้เขารู้แล้วว่าของทุกอย่างจะขายดีหากเข้าไปขายในเมืองมหาวิทยาลัย ต่อให้พวกเขานำไปขายในเมืองเจียงสุ่ยก็ไม่แน่ว่าจะขายออก
และเขาก็มีความทะเยอทะยานเต็มเปี่ยม หากได้เข้าเมืองมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขาจะถอยรถยนต์กลับมาที่บ้านให้ได้!
เขาไม่อาจโกหกได้เลยว่าไม่มีน้ำผึ้งเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหลังจากทำงานเสร็จแล้วคุณแม่จี้ก็มาช่วย ซึ่งทั้งสองง่วนอยู่กับการเก็บน้ำผึ้งเป็นร้อย ๆ ชั่งนี้ในเวลา 2 วัน
หลังกรอกน้ำผึ้งใส่ขวดโหลแล้ว เขาก็นำไปให้ซูจิ้นตั๋ง 2 โหล ของคุณแม่ซู 2 โหล สองโหลเก็บไว้ใช้ที่บ้าน และให้คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้เก็บไว้อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือนั้นเขาบรรจุลงกล่อง รอเป็นระยะหนึ่งเพื่อจะนำไปขายในเมืองมหาวิทยาลัย
หลังทำงานนี้เสร็จ เขาก็มาคั่วเกาลัดให้ภรรยากินจุของเขาได้กิน ในตอนแรกเขาอยากจะทำเป็นเกาลัดผัดน้ำตาล แต่ซูตานหงได้อ่านตำรายามาแล้วและบอกว่าสตรีมีครรภ์ไม่ควรกินเกาลัดหวาน ๆ มากเกินไปในช่วงตั้งครรภ์ เขาจึงทำเป็นเกาลัดคั่วเฉย ๆ
แต่ถึงจะเป็นเกาลัดคั่ว มันก็อร่อยมาก
เมื่อโหวหวาจือและเสี่ยวเจินเสี่ยวอวี้มาหา ซูตานหงก็ไม่ได้ขี้เหนียว และแบ่งเกาลัดส่วนใหญ่ให้เพื่อให้พวกเขาไปกินด้วยกัน
ที่บ้านมีเกาลัดตากแห้งอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างน้อยก็ราวร้อยกว่าชั่ง และเนื่องจากเขารู้ว่าเธอชอบกิน จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเก็บเกาลัดจำนวนมากที่เธอเก็บเอาไว้ ส่วนที่เหลือนั้นก็นำไปขาย
มันมีเพียงพอให้เธอกินเป็นอาหารว่างแล้ว
ช่วงนี้เหรินเหรินน้อยเรียนรู้ที่จะคลานได้แล้ว โดยเฉพาะในช่วงเดือนนี้ที่เขาโตขึ้นมากและยังปีนป่ายได้รวดเร็วอีกด้วย หากคลาดสายตาไปนิดเดียวเขาก็จะคลานไปที่คอกของต้าเฮยเพื่อไปเล่นกับต้าเฮยแล้ว
แม้ต้าเฮยจะตัวสูงและดูน่าเกรงขาม แต่มันก็มีกำลังวังชามา และเหมือนจะรับรู้ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ มันจึงมาเฝ้าอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดโดยไม่รู้จักเหนื่อย ครั้นซูตานหงเดินไปที่สวนหลังบ้าน มันก็จะเดินตามไปด้วย
จี้เจี้ยนอวิ๋นพอใจอย่างมากกับเรื่องนี้ หลังลูบศีรษะสุนัขตัวนี้แล้วเขาก็ให้มันแทะกระดูกชิ้นใหญ่
ไม่เพียงแต่มันจะเฝ้าซูตานหงเท่านั้น มันยังเฝ้าเหรินเหรินน้อยผู้เป็นนายน้อยของบ้านเป็นอย่างดีด้วย แต่ต้าเฮยนั้นไม่คุ้นเคยกับกลิ่น บางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นของเยียนเอ๋อร์แตกต่างจากกลิ่นของเหรินเหรินน้อย มันจึงไม่ค่อยสนใจอะไรเยียนเอ๋อร์มากนัก ซึ่งเยียนเอ๋อร์เองก็กลัวมันเหมือนกัน ต่อให้เธอจะไม่ร้องไห้เมื่อเจอมัน แต่ก็ไม่ได้เล่นกับต้าเฮยเช่นกัน มีเพียงเหรินเหรินน้อยที่เห็นต้าเฮยว่าเป็นเพื่อนเล่น
ก่อนหน้านี้ก็ยังดีอยู่หรอก แต่พอเขาเรียนรู้ที่จะคลานและจำทิศทางได้แล้ว เขาก็คลานไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง
ต้าเฮยนั้นเป็นเหมือนพี่ชายของเขาที่คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี ต่อให้บางครั้งจะถูกเด็กน้อยดึงทึ้งขนสีดำของมันบ้าง ต้าเฮยก็ไม่แสดงท่าทางประท้วงแม้แต่น้อย
แต่ในบางครั้งซูตานหงก็ทนไม่ได้ เธอแกะมือน้อย ๆ ของเด็กชายและตีเบา ๆ เพื่อสอนเขาว่าไม่ควรดึงขนของมัน เพราะถ้าทำแบบนี้ต้าเฮยจะรู้สึกเจ็บ
เหรินเหรินน้อยมองเธอตาแป๋วอย่างไม่รู้สึกรู้สา ด้วยความที่คิดว่าแม่กำลังเล่นกับเขา เด็กชายจึงยิ้มกว้างและตีเธอกลับบ้าง
ซูตานหงถึงกับเงียบไป
ชั่วพริบตาเดียวเหรินเหรินน้อยก็มีอายุ 10 เดือนแล้ว และอีก 2 เดือนข้างหน้าก็จะเป็นวันเกิดของเขาพอดี และนับว่าเป็นวันเกิดตามปฏิทินทางจันทรคติ ตอนนี้เป็นวันที่ 8 ในเดือน 8 ซึ่งในอีก 7 หรือ 8 วันข้างหน้าก็จะตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 อันเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี
ในวันนี้เหล่าฉินก็ได้โทรศัพท์หากรรมการหมู่บ้านเพื่อขอสายจี้เจี้ยนอวิ๋น จี้เจี้ยนอวิ๋นก็รับสาย หลังจากกลับมาถึงบ้านเขาก็พูดขึ้น “เหล่าฉินถามผมว่าจะเข้าเมืองมหาวิทยาลัยอีกไหม? ในเมืองมหาวิทยาลัยกำลังจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างยิ่งใหญ่อยู่ ถ้าขายไข่ที่นั่นก็จะขายดี”
“คุณคิดว่าอย่างไรล่ะคะ?” ซูตานหงถาม
“ผมว่ามันก็คุ้มนะ ได้ไปขายของด้วย แล้วก็ได้ชมเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปด้วย” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
“อืม ถ้างั้นคุณก็ไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงทางบ้านหรอก” ซูตานหงบอกขณะคิดในใจไว้แล้วว่าจะทำขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ ปีที่แล้วเธอไม่ได้ทำเลย แต่เข้าเมืองไปซื้อมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งรสชาติก็เหมือน ๆ กันแต่ติดที่ว่าราคาแพงมาก เธอจึงคิดว่าปีนี้จะทำเอง
จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังยุ่งอยู่กับงาน ตอนนี้เป็นหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เมื่อดูจากอัตราการออกไข่ของบรรดาแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้แล้ว พวกเขาก็น่าจะเก็บไข่ได้เป็นจำนวนมาก
เมื่อได้ยินว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นจะไปขายของในเมืองมหาวิทยาลัย คุณแม่จี้ก็ทำงานหนักขึ้นในช่วงนี้ นางเติมอาหารจำพวกเนื้อให้ไก่กิน และยังบอกจี้เจี้ยนอวิ๋นให้ไปหว่านแหจับปลาและกุ้งมาบำรุงร่างกายของตานหงด้วย
3 วันต่อมา อัตราการออกไข่ของบรรดาแม่ไก่ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากส่วนที่ซูจิ้นตั๋งนำไปขายที่ร้านค้าในเมืองแล้วก็ยังมีบางส่วนเหลืออยู่ที่นี่มากกว่าครึ่งตะกร้า ซึ่งภายในเวลาไม่กี่วันมันก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 3-4 ตะกร้า แต่พวกเขาไม่ได้ขายไข่อย่างเดียว จี้เจี้ยนอวิ๋นยังเตรียมไก่ไว้ขายอีกมากกว่า 20 ตัวด้วย นอกจากนี้ยังมีน้ำผึ้งจำนวนมากแล้วก็แกะ ซึ่งแกะนั้นถูกเชือดมาตั้งแต่ยังอยู่บนภูเขา แต่ก็เชือดเป็นจำนวนไม่มากนัก แค่ 3 ตัวเท่านั้นที่นำมาขายในเมือง หลังจากนั้นเขาก็ไปหาโรงทำน้ำแข็งในเมืองเพื่อซื้อน้ำแข็งจำนวนมากมาแช่ของสด ก่อนจะขับรถเข้าไปยังเมืองมหาวิทยาลัย
หากขับรถด้วยตัวเอง ระยะเวลาที่ใช้จากหมู่บ้านไปยังเมืองมหาวิทยาลัยจะเป็น 3 ชั่วโมง เหล่าฉินจึงออกรถตั้งแต่ตีสี่ซึ่งเป็นเวลาเช้าตรู่ หลังกินอาหารเช้าที่นี่เสร็จเขาก็พาจี้เจี้ยนอวิ๋นไป และมาถึงเมืองมหาวิทยาลัยตอนหกโมงเช้า และเวลาเจ็ดโมงเช้าก็จะเป็นช่วงที่ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด
การมีรถคันใหญ่แบบนี้มาเยือนพร้อมกับคนที่ยังดูคุ้นหน้าคุ้นตาก็ทำให้ผู้คนในตลาดทุกคนรู้จักจี้เจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉิน เนื่องจากประทับใจกับผลไม้เมื่อคราวที่แล้วเป็นพิเศษ ทั้งไม่แพงแล้วยังอร่อยอีกด้วย ซึ่งเมื่อกินผลไม้จากสวนอื่นเทียบกันแล้วก็สู้ผลไม้จากสวนนี้ไม่ได้เลย เหมือนกับการกินแอปเปิลคุณภาพเยี่ยมเทียบกับแอปเปิลที่ทั้งเปรี้ยวและฝาดอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งพวกเขาไม่มีทางซื้อของอย่างหลังอีกแน่นอน!
……………………………………………