ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 119 พ่อ...หนูอยากกินลูกพลับแห้ง!
ตอนที่ 119 พ่อ…หนูอยากกินลูกพลับแห้ง!
“ตอนนี้อากาศกำลังเย็น ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ ฉันจะต้องเก็บเงินไว้ซื้อร้านน่ะ” หลังได้ยินที่เขาพูดแล้ว ซูจิ้นตั๋งก็เอ่ยตอบ เห็นชัดว่าเขาวางแผนเอาไว้แล้ว
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงไม่พูดอะไรอีก
ต่อมาเขากับซูจิ้นตั๋งก็ขนของมาขายที่นี่อีกสามรอบ ทุกครั้งที่นำสินค้ามาเต็มคันรถ พวกเขาก็ขายของทุกอย่างที่ขายได้จนหมดเกลี้ยง
เดิมทีต้องคำนวณค่าแรงให้ซูจิ้นตั๋ง แต่ซูจิ้นตั๋งไม่เพียงให้ความช่วยเหลืออย่างสุจริต เขายังมาช่วยเหลือด้วยใจรักอีกด้วย เขาถึงกับต้องหยุดกิจการของตัวเองเพื่อมาช่วยเหลือ ต่อให้จะให้เงินค่าจ้างไปแล้ว เขาก็ต้องจดจำในน้ำใจของอีกฝ่ายด้วย
มีคนไม่มากนักที่จะมีอะไรแบบนี้ เหล่าฉินเองก็อีกคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขามีรถแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องขอยืมรถจากอีกฝ่าย แม้ตัวเขาจะไม่ได้ไร้พี่น้อง แต่เพราะความเป็นพี่น้องกันนี่แหละ ถึงต้องแยกเรื่องนี้ออกจากพวกเขาถูกไม่ถูกล่ะ?
ในตอนแรกก็อิจฉาตาร้อนกันอยู่แล้ว ถ้าพี่น้องเขาได้มาเห็นภาพที่เพิ่งผ่านไป พวกเขาจะไม่อิจฉาตายเลยเหรอ?
ดังนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงไม่คิดจะทำธุรกิจร่วมกับพี่น้องสองคนนี้ในครอบครัวตัวเอง แต่เลือกที่จะทำร่วมกับซูจิ้นตั๋งพี่ชายรองของภรรยาแทน
แม้จะมีความล่าช้าไปบ้าง แต่ถ้าได้รับสินค้าล่วงหน้าคงจะไม่มีปัญหา แค่เพิ่มงานในกะกลางคืนอีกกะ แล้วก็ให้คุณแม่ซูมาช่วย เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเขาก็รู้ว่าน้องเขยอย่างเจี้ยนอวิ๋นคงจะขอความช่วยเหลือจากเขามากกว่าพี่ชายน้องชายตัวเอง นั่นแสดงให้เห็นว่าในใจของเจี้ยนอวิ๋นแล้ว พี่ชายรองของภรรยาอย่างเขาเป็นคนที่เขาวางใจได้มากกว่า เขาจึงอยากจะมาช่วยงานนี้ และถ้าพูดตามตรงก็คือ เขาเองก็ได้เปิดโลกทัศน์ในเมืองมหาวิทยาลัยด้วย
ส่วนเงิน 30 หยวนนั้นเขายังไม่ขอรับไว้ เงินมากกว่า 30 หยวนนี้ไม่ทำให้เขารวย และเงินน้อยกว่า 30 หยวนนี้ก็ไม่ทำให้เขาจนได้หรอก แต่ถ้าเจี้ยนอวิ๋นต้องการจะคิดเงินกับเขา เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ
ถ้าเขาบอกว่าในอนาคตจะขอความช่วยเหลือจากจี้เจี้ยนอวิ๋น นั่นก็ถือว่าเป็นค่าแรงแล้วไม่ใช่หรือ? หลังทำงานไม่กี่วันเขาก็ต้องยืมเงินมาโปะเพื่อจ่ายเป็นค่าร้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องควรสนใจหรือไม่ล่ะ?
ได้ยินที่เขาพูดแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่เกรงใจเขาอีก และเอ่ยขึ้น “พี่รอง พี่กลับไปคำนวณดูว่ายังขาดอีกเท่าไหร่แล้วกันนะครับ ถ้าเห็นสมควรก็เรียกเขามาในวันพรุ่งนี้ จะได้ลงหลักปักฐานและดำเนินกิจการดีขึ้น”
“ตกลง” ซูจิ้นตั๋งตอบแล้วก็กลับไป
เมื่อเขากลับมาถึงร้าน คุณแม่ซูก็บอกว่าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงขับรถพานางไปส่งที่บ้านเดิมในวันเดียวกัน
แม้มันจะเป็นรถสามล้อ แต่นางก็กลายเป็นที่อิจฉาของบรรดาหญิงชราในหมู่บ้าน
หลังจากที่ซูจิ้นตั๋งกลับมาที่บ้าน ร้านค้าหน้าบ้านก็ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อย จากนั้นสองสามีภรรยาจึงได้เริ่มคำนวณรายรับรายจ่ายของครอบครัว
ได้ยินว่าสามีของตนไม่ได้ทำงานยากลำบากอะไรแล้ว สะใภ้รองซูก็ไม่ว่ากล่าวอะไร
ตอนนี้ร้านค้าเป็นของครอบครัวหล่อน และจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ขอให้ในอนาคตพวกเขาขายในราคาส่ง และทั้งคู่ก็รู้ว่าเขาหวังดี จึงตกลงเห็นด้วย
หากไม่ใช่เพราะน้องเขยและน้องสามีคู่นี้แล้ว หล่อนจะยังมีชีวิตเหมือนตอนนี้ได้หรือ?
สะใภ้รองซูมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง น้ำใจเช่นนี้ไม่สามารถนำเงิน 30 หยวนมาเทียบได้เลย พวกเขาช่วยเหลือพวกหล่อนมากขนาดไหน? ถ้าจะรับเงินมาแล้วจะรู้สึกภูมิใจได้แบบนี้อยู่ไหม?
ต่อให้ทั้งคู่จะผลัดกันดูรายได้ของตนเอง มันก็ยังมากกว่า 1,300 หยวน!
สองสามีภรรยามองหน้ากัน ดวงตาของทั้งคู่เป็นประกาย พวกเขามาทำธุรกิจในเมืองได้นานแค่ไหนแล้ว? ตอนนี้ทั้งคู่เก็บเงินได้มากกว่า 1,300 หยวนเสียอีก
นี่คือรายได้ที่เหลืออยู่ล้วน ๆ หักค่าใช้จ่ายประจำวันและอื่น ๆ ออกแล้ว!
และในตู้ก็ยังมีเก็บอยู่มากกว่า 20 หยวน แต่เงินจำนวนนั้นเอาไว้ใช้เป็นค่าสั่งซื้อและขนส่งสินค้า เอาออกมาใช้ไม่ได้หรอก
“เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าเราควรซื้อร้านนี้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่อย่างนั้นผมก็เกรงว่าต่อไปจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น” ซูจิ้นตั๋งพูด
“ยังเหลืออีก 1,200 หยวน เงินส่วนนี้คุณไปขอยืมน้องสามีก็ได้นะคะ เราคงจะเก็บเงินได้ แล้วปีหน้าค่อยนำมาจ่ายคืนหล่อน แล้วน้องสามีก็เชื่อใจเราด้วย!” สะใภ้รองซูบอก
หล่อนเองก็ชอบบ้านหลังนี้มาก ไม่คิดจะย้ายไปไหนแล้ว หล่อนจะปักหลักอยู่ที่บ้านหลังนี้นี่แหละ!
ขณะที่ด้านหน้าเป็นร้านค้าไว้ทำธุรกิจ ด้านหลังก็เป็นบ้านไว้พักอาศัย นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะจะอยู่อาศัยที่สุดแล้ว
“ตกลง พรุ่งนี้ผมจะไปคุยกับเจี้ยนอวิ๋นให้นะ” ซูจิ้นตั๋งบอก
เขาย่อมคุยเรื่องนี้กับจี้เจี้ยนอวิ๋นอยู่แล้ว แม้น้องสาวของเขาจะพูดจาได้ดี แต่เขาก็ไม่อาจให้น้องสาวตัวเองเป็นคนรับหน้าเสื่อได้ทุกครั้งหรอก เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับจี้เจี้ยนอวิ๋นอยู่แล้ว และรู้ถึงความคิดของจี้เจี้ยนอวิ๋นดี ดังนั้นเขาก็คุยกับอีกฝ่ายได้หากมีอะไรตกหล่นไป!
จี้เจี้ยนอวิ๋นดีใจมาก เขาจึงให้ยืมเงินและถามว่าจะโอนเงินซื้อเมื่อไหร่อย่างไรด้วยกัน แต่ซูจิ้นตั๋งคุ้นเคยกับอะไรแบบนี้อยู่แล้วจึงปฏิเสธไป
เขาติดต่อเจ้าของบ้าน ซึ่งเจ้าของบ้านก็เป็นคนเที่ยงตรงดี เมื่อต้นปีเขาบอกว่าจะไม่มีการเพิ่มราคา ดังนั้นการซื้อขายนี้จึงจบลงด้วยดี การถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของและอะไรอื่น ๆ ต่างเสร็จสิ้นที่สำนักงานจัดสรรที่ดินในวันนั้น และชื่อของซูจิ้นตั๋งกับสะใภ้รองซูก็ได้ปรากฏบนโฉนดที่ดินของบ้านหลังนั้น!
ใช่แล้ว ซูจิ้นตั๋งได้เขียนชื่อของสะใภ้รองซูว่าหลี่จวี๋จื่อลงไปบนนั้นโดยเฉพาะ
ขณะที่ถือโฉนดที่ดินของบ้านหลังนั้นมาไว้กับตัว สะใภ้รองซูก็กลับไปพร้อมกับปาดน้ำตาไปพลาง เมื่อลูกชายอายุ 1 ขวบเห็นแม่กำลังร้องไห้อยู่ก็คลานเข้ามาหาพร้อมกับปาดน้ำตาให้หล่อนด้วยสีหน้าร้อนใจ
“ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะสือโถว แม่แค่มีความสุข แม่รู้สึกว่ามีชีวิตที่คุ้มค่าแล้ว แม่จะจดจำบุญคุณของคุณอาไปชั่วชีวิตเลยจ้ะ!” สะใภ้รองซูอุ้มลูกชายที่ยังไร้เดียงสาขึ้น และปาดน้ำตาด้วยความปิติ
หล่อนคิดถึงวันเวลาเมื่อก่อนหน้านี้และเทียบกับตอนนี้ที่หล่อนกับซูจิ้นตั๋งสามารถซื้อบ้านในเมืองอยู่อาศัยได้ นับจากนี้ไปหล่อนจะเป็นคนในเมืองแล้ว บ้านก็อยู่ที่นี่ ลูกชายก็อยู่ที่นี่ ส่วนสามีก็ขยันทำงาน แล้วยังจะมีอะไรให้หล่อนไม่พอใจได้อีก?
และความดีความชอบทั้งหมดนี้หล่อนก็รู้ดีว่าต้องยกให้น้องสามีที่แต่งงานออกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นหล่อนก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรต่อไป
ในตอนแรกที่เห็นภรรยาเก็บตัวร้องไห้อยู่ในบ้าน ซูจิ้นตั๋งก็เป็นกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อแอบดูแล้วจึงได้รู้ว่าหล่อนพูดอะไรออกมา เขาก็พลันหัวเราะและส่ายหน้า ก่อนออกไปทำงานอีกครั้ง
แม้จะซื้อบ้านมาแล้ว แต่ก็ยังมีหนี้สินไม่น้อย และเงินที่เหลืออยู่ในบ้านก็มีไม่มากนัก เรียกได้ว่าถูกใช้ไปเกือบหมดเกลี้ยงเลยทีเดียว
โชคดีที่ธุรกิจทุกวันนี้อยู่ตัวดีมาก และตอนนี้ใกล้จะถึงวันสิ้นปีแล้วจึงซื้อง่ายขายคล่องเป็นพิเศษ ไม่ใช่ว่าทุกบ้านต่างอยากเตรียมตัวเพื่อปีที่ดีหรอกหรือ? ดังนั้นแล้วกิจการจึงถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว
ขยันทำงานในปีนี้ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะได้ปล่อยตัวตามสบายอยู่กับบ้านได้
อีกด้านหนึ่ง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เริ่มทำงานอีกครั้ง ครั้งนี้เขาทำรายได้เป็นจำนวนมหาศาล ของที่มาขายล้วนเป็นเนื้อสัตว์ทั้งหมด ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่จะขายได้ในราคาที่สูง และเขาก็ทำรายได้มากกว่า 900 หยวนภายในไม่กี่วัน แต่เมื่อทบกับเงินส่วนที่ให้ยืมไปแล้วมันก็เพิ่มขึ้นมาจากเดิมนิดหน่อย
เรื่องพวกนี้เขาไม่กังวลนัก สิ่งเดียวที่กังวลก็คือภรรยาของตนที่ตอนนี้เหลือเวลาอีกเดือนเดียวแล้ว และท้องของเธอก็นูนป่องอย่างเห็นได้ชัด ทุกวันเขาอดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่นเวลาที่เธอทำกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม เขาจึงต้องเป็นคนทำอะไรเองทุกอย่าง ขอเพียงภรรยาของเขาสามารถดูแลตัวเองดี ๆ ได้เขาก็พอใจแล้ว
ส่วนการดูแลเหรินเหรินกับเยียนเอ๋อร์นั้นไม่จำเป็นให้เธอต้องเป็นคนดูแลหรอก
“พ่อ หนูอยากกินลูกพลับแห้ง”
ตอนนี้เยียนเอ๋อร์สามารถพูดได้ชัดถ้อยชัดคำและคล่องปร๋อแล้ว และเป็นเพราะอาหารที่บ้านคุณลุงสามนั้นดีมาก เด็กหญิงจึงมีรูปร่างอ้วนกลม แถมซูตานหงเองก็เป็นคนใจกว้าง เธอเลี้ยงดูเด็กหญิงราวกับลูกของตนเอง และยังจับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบตะวันตกจนเธอมีพื้นฐานดูต่างจากเด็กหญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านอีกต่างหาก
………………………………………