ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 125 ยุ้งเก็บถั่วอาหารสัตว์
ตอนที่ 125 ยุ้งเก็บถั่วอาหารสัตว์
ถึงจะบอกไม่ให้จี้เจี้ยนอวิ๋นโมโห แต่ความจริงแล้วซูตานหงก็เดือดไม่แพ้กัน
ในตอนแรกคิดว่าจะได้เห็นสองผู้เฒ่ามีความสุขในวันปีใหม่แล้วแท้ ๆ ใครจะรู้ว่าเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานจะก่อเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น
เธอเคยคิดว่าพวกเขาจะมีความใส่ใจกันมากขึ้นบ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่จุดนั้นกันจริง ๆ
จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่กลับมาฉลองปีใหม่ด้วยมือเปล่า เรื่องนี้นับว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาติดจำนองบ้านอยู่ ชนชั้นแรงงานล้วนมีค่าแรงที่ตายตัว และยังมีค่าใช้จ่ายทุกเดือน จึงเหลือส่วนต่างที่จะเก็บออมไม่มากนัก ซึ่งทั้งสองต่างก็อยากจะใช้หนี้จำนองบ้านในส่วนนี้ให้หมดโดยไวต่อให้จะต้องทุ่มเงินเป็นหลายร้อยหยวนก็ตาม แต่สำหรับจี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่แล้ว เงินจำนวนนี้ไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลย
หากจะใช้หนี้ก้อนใหญ่ในระยะเวลาอันสั้นขนาดนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรพวกเขายังต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้นในตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของผู้เฒ่าทั้งสองแล้ว พวกเขาทั้งคู่จึงไม่มีอะไรต้องพูด ถึงอย่างไรทั้งหมดต่างก็เป็นพี่น้องกัน และการคุยกันระหว่างผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
ต่อให้จะไม่ได้ทำเพื่ออะไรอย่างอื่น อย่างน้อยก็ต้องไว้หน้าสามีตัวเองบ้าง
แต่แล้วปัญหานี้ก็เกิดขึ้น เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานช่างไม่ดูตัวเองเลย พวกหล่อนกลับนำข้าวที่ต้องใช้กินตลอดทั้งปีกระสอบนี้มาให้ที่นี่ ถึงคุณพ่อคุณแม่จี้จะใช้ประทังชีพได้ แต่พวกหล่อนเองจะไม่อดตายกันเหรอ?
เป็นเช่นนั้นแล้ว พวกหล่อนกำลังทำอะไรกันอยู่?
“ภรรยาครับ อย่าใส่ใจกับพวกหล่อนเลย แค่ตอบแทนคุณพ่อคุณแม่ก็พอ” จี้เจี้ยนอวิ๋นปลอบเธอกลับ
ซูตานหงพยักหน้า
จากนั้นเธอก็เข้าครัว ตอนนี้ไม่ถือว่าเร็วเกินไปหรอก เพราะถึงเวลาเตรียมอาหารเย็นแล้ว
จี้เจี้ยนอวิ๋นเดินไปอุ้มเหรินเหรินและพาไปที่ภูเขา ขณะที่คุณพ่อจี้กำลังสูบบุหรี่มวนใหญ่อยู่เงียบ ๆ
“พ่อครับ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นแววเศร้าหมองของผู้เป็นพ่อแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“ทำไมแกถึงขึ้นมาบนภูเขาล่ะ?” คุณพ่อจี้รีบหยิบบุหรี่ออกโดยไว เพราะหลานชายตัวน้อยไม่ชอบกลิ่นของมัน
“พ่ออย่ากังวลกับปัญหาไปเลยนะครับ พ่อกับแม่มากินข้าวที่บ้านผม แล้วในภายหน้าผมจะให้การดูแลยามแก่เฒ่าเอง ผมจะดูแลให้พ่อกับแม่มีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านเลย!” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
คุณพ่อจี้ยิ้ม อารมณ์ของเขาดีขึ้นมากขณะเอ่ยขึ้น “ถ้างั้นพ่อกับแม่ต้องพึ่งพาแกแล้วล่ะ”
“แน่นอนครับ พ่อ ฤดูใบไม้ผลิหน้าผมคิดจะไปเมืองมหาวิทยาลัยอีก ตานหงกับผมไปซื้อห้องชุดที่เมืองเจียงสุ่ยไว้แล้ว ดังนั้นในปีหน้าผมก็อยากให้พ่อไปขายของกับผมที่นั่นด้วย เหล่าฉินกับพี่รองของภรรยาขายของไม่เก่งเท่าพ่อน่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
คุณพ่อจี้พยักหน้า “อย่ากังวลเลย ปีหน้าพ่อจะตามไปช่วยแก”
ครั้งที่แล้วลูกชายของเขากับพี่ชายรองของสะใภ้สามไปขายของในเมืองด้วยกันอย่างปุบปับ ซึ่งเดิมทีเขาอยากไปช่วยลูกชายขายของด้วย เขาคิดแบบนี้มานานแล้ว แต่ในวันนั้นชายชราอย่างเขาก็เป็นหวัดขึ้นมาพอดีทั้งที่ตลอดทั้งปีไม่เคยป่วยเลย พอเป็นหวัดแล้วก็ใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะหายดี
คุณพ่อจี้เองก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ ในชีวิตนี้เขายังไม่เคยไปเมืองมหาวิทยาลัยมาก่อนเลย อย่างไกลที่สุดที่เขาเคยไปก็แค่ตัวเมืองเจียงสุ่ยเท่านั้น
ส่วนเวลาอื่นนั้นก็ทำงานอยู่แถว ๆ หมู่บ้านนี่เอง
เห็นว่าพ่อของตนเองมีความตั้งใจแบบนี้แล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เบาใจลงและเอ่ยขึ้น “ทุกวันนี้แกะโตเป็นอย่างไรบ้างครับ? ถั่วมู่สวี่*พอให้พวกมันกินไหม?”
*ถั่วอัลฟัลฟา เป็นพืชตระกูลถั่วที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ชนิดหนึ่ง
“พวกมันกินเก่งกันไม่น้อยเลยล่ะ เจี้ยนอวิ๋น ฉันอยากจะถามแกว่า แกอยากสร้างยุ้งเก็บอาหารสัตว์อีกหลังหนึ่งไหม? พื้นที่ตรงนั้นน่ะว่างเปล่าโล่งเตียนอยู่ ในฤดูหนาวก็แค่จุดไฟที่เตียงเตา แล้วทั้งยุ้งก็จะอบอุ่น พอจะเก็บถั่วมู่สวี่ไว้ได้” คุณพ่อจี้บอก
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงอุ้มเหรินเหรินน้อยเดินมาที่ยุ้งเก็บอาหารสัตว์พร้อมกับคุณพ่อจี้
ยุ้งเก็บอาหารสัตว์ถูกสร้างไว้บนภูเขามาระยะหนึ่งแล้วเพื่อไว้ใช้เพาะถั่วมู่สวี่ ซึ่งพวกแกะชอบกินถั่วอาหารสัตว์ชนิดนี้มาก ไม่เพียงแต่พวกแกะจะชอบเท่านั้น พวกไก่เองก็ชอบกินเหมือนกัน แต่เมื่อฤดูหนาวมาถึง ถั่วมู่สวี่สดก็มีไม่พอที่จะให้พวกมันกิน และบางส่วนก็ถูกปล่อยให้แห้ง ซึ่งแน่นอนว่าสารอาหารในนั้นก็หายไปมากเหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องสร้างยุ้งเอาไว้เพาะมันขึ้นมา
ภายในยุ้งยังมีเตียงเตาจุดไว้ เมื่อเวลานั้นมาถึงก็ค่อยจุดไฟเผาเตียงเตา แค่นั้นก็สามารถทำให้ทั้งยุ้งอบอุ่นจนถั่วมู่สวี่เจริญเติบโตได้แล้ว
แต่ในตอนนี้มีแกะรุ่นอยู่ในโรงเรือนมากกว่า 20 ตัวและมีแม่แกะอยู่อีก 4 ตัว พวกมันกินทุกวันและต้องการหญ้าอาหารอยู่ทุกวัน ดังนั้นยุ้งเก็บอาหารยุ้งเดียวจึงไม่พอ
“ถ้างั้นพรุ่งนี้เราก็เริ่มสร้างยุ้งขึ้นมาอีกยุ้งหนึ่งเพื่อไม่ให้แกะพวกนี้หิวโหยแล้วกันครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
คุณพ่อจี้พยักหน้ารับ
“แกะ”
ในตอนนี้เอง เสียงอ้อแอ้ของเหรินเหรินน้อยก็ดังขึ้น เขามองไปที่บรรดาแกะด้วยดวงตาดำเป็นประกาย
คุณพ่อจี้มองหลานชายตัวน้อยที่ถูกผู้เป็นแม่จับแต่งตัวจนดูเหมือนเทวดาตัวน้อยก็หรี่ตาลงและเอ่ยอย่างร่าเริง “เหรินเหรินกล้าหาญจริง ๆ เยียนเอ๋อร์เพิ่งจะมาดูพวกมันไม่นานมานี้ก็ทำท่าหวาดกลัวนิดหน่อยแล้ว”
จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็รู้สึกขบขันเช่นกัน เมื่อเห็นว่าลูกชายตนกำลังสนอกสนใจเต็มเปี่ยมก็อุ้มเขาขึ้นมาและให้เขาสัมผัสกับขนแกะเป็นปุย ซึ่งเหรินเหรินน้อยก็พอใจมาก
ดังนั้นในเช้าตรู่วันต่อมา เด็กชายก็เรียกร้องหาแต่แกะ และอยากขึ้นภูเขาไปลูบแกะอีกครั้ง
ซูตานหงไม่กล้าอุ้มเด็กชายคนนี้อีกต่อไป เขาแข็งแรงไม่ผิดจากผู้เป็นพ่อ ขาเล็ก ๆ ของเขาเตะแรงมากเหลือเกิน แล้วตอนนี้ท้องของเธอก็ไม่ได้เล็กแล้ว ดังนั้นคนที่อุ้มเขาจึงเป็นพ่อของเขา ส่วนเธอจะใช้วิธีให้เขานั่งอยู่ในรถเข็นแล้วเข็นเขาแทน
“เดี๋ยวกินข้าวเช้าก่อนนะจ๊ะ แล้วค่อยไปดูแกะได้” ซูตานหงบอก
“ข้าว” เหรินเหรินน้อยมองเธอ
“จ้ะ ข้าว เรากำลังจะกินกันแล้วนะ” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าเขากำลังเรียนรู้คำจากเธอ
เด็กคนนี้เรียนรู้เร็วจริง ๆ ตอนนี้เขาเพิ่งมีอายุได้หนึ่งขวบอีกเกือบสองเดือน เขาก็พูดได้แล้วคำสองคำ
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดไปได้รับการตอบรับ เหรินเหรินน้อยก็ดีใจมาก และส่งเสียงตะโกนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มให้แม่ตักป้อนโจ๊กหมูให้กิน ซึ่งโจ๊กหมูนี้ก็ถูกบดจนเละละเอียดเพื่อให้ย่อยง่าย และเป็นความจริงที่ว่าเหรินเหรินน้อยก็ชอบอาหารเช้าแบบนี้เช่นกัน
หลังกินโจ๊กชามเล็กหมด ซูตานหงก็ป้อนไข่ตุ๋นให้เขากินต่อ จนเด็กชายตัวน้อยรู้สึกอิ่ม หลังกินและดื่มเสร็จเขาก็เล่นกับของเล่น ซึ่งพ่อของเขาซื้อของเล่นมาให้เขามากมายทีเดียว ในนั้นมีทั้งหุ่นยนต์ ลูกคิดขนาดเล็ก และหนังสือวาดภาพสำหรับเด็กอีกสองเล่ม ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นของดีทีเดียว
เหรินเหรินน้อยเปิดหนังสือวาดภาพระบายสีอย่างแคล่วคล่องและเริ่มอ่านออกเสียง ขณะที่มองดูนั้น ปากเล็ก ๆ ของเขาก็เอ่ยขมุบขมิบไปด้วย
เมื่อเห็นว่าเขาอยู่กับตัวเองแล้ว ซูตานหงจึงเริ่มกินข้าว ส่วนพ่อของเด็กนั้นติดอาหารเช้าขึ้นไปกินบนภูเขาและยังไม่ลงมา ได้ยินว่าวันนี้จะสร้างยุ้งเก็บถั่วอาหารสัตว์อีกยุ้งหนึ่ง ความจริงแล้วมันก็เหมือนกับยุ้งที่มีอยู่ แต่เธอก็รู้ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่อยากให้พ่อของเขาว่างงานเลยต้องหาอะไรทำ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร
ซูตานหงไม่คัดค้าน หลังจากสร้างยุ้งขึ้นมาแล้ว เธอก็วางแผนว่าจะปลูกผักเหมือนกันเมื่อเวลานั้นมาถึง ปีนี้โรงเรือนต้นไม้ของเธอเหลือพื้นที่ว่างไม่มากแล้ว เพราะมีดอกไม้กระถางต้นใหม่ถูกย้ายเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ซูตานหงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาย้ายต้นไม้เข้ามามากโดยไม่ถามไถ่เธอเลย แล้วพวกมันก็ไปกระจุกรวมกันเต็มสวนหลังบ้าน
ดังนั้นยุ้งอาหารสัตว์แห่งนี้จึงมาได้ถูกเวลามาก เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็จะปลูกผักอะไรต่อมิอะไรได้หลายชนิด และเธอก็ชอบกินผักหลายชนิดด้วย
“พี่สะใภ้สาม เยียนเอ๋อร์งอแงอยากมาที่บ้านนี้น่ะครับ” จี้เจี้ยนเหวินอุ้มเยียนเอ๋อร์มาหาและเอ่ยอย่างจนปัญญา
“ป้าสาม” เยียนเอ๋อร์เปลี่ยนสรรพนามเรียกแล้ว แต่ก็ยังมีความอาลัยอาวรณ์ต่อเธออยู่
“หนูกินข้าวแล้วหรือยังจ๊ะ?” ซูตานหงถามด้วยรอยยิ้ม
“กินแล้วค่ะ หนูจะมาเล่นกับน้องชายหนู” เยียนเอ๋อร์พยักหน้า
“งั้นผมจะขึ้นเขาไปช่วยคุณพ่อแล้วนะครับ” จี้เจี้ยนเหวินบอก
ซูตานหงพยักหน้า เยียนเอ๋อร์จึงได้อยู่เล่นกับเหรินเหรินน้อยที่นี่ ขณะที่จี้เจี้ยนเหวินไปที่สวนผลไม้
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะมีโรงเรือนเพาะต้นไม้บนภูเขาแล้ว ก้าวหน้าไม่หยุดเลยจริง ๆ
เอ็นดูเยียนเอ๋อร์จังเลยค่ะ
ขออภัยด้วยนะคะที่ช่วงนี้แปลอืดหน่อย กำลังเร่งแปลอย่างสุดฝีมืออยู่ค่ะ
ไหหม่า(海馬)