ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 132 ทำทุกอย่างเพื่อเงิน
ตอนที่ 132 ทำทุกอย่างเพื่อเงิน
แม้เธอจะไม่ถูกกับครอบครัวของเหล่าฉิน หากแต่มันก็ไม่ได้กระทบกับมิตรภาพระหว่างเจี้ยนอวิ๋นกับเหล่าฉินแม้แต่น้อย
เรื่องพวกนี้แม่ของเธอไม่จำเป็นต้องรู้ ไม่เช่นนั้นแม่ของเธอคงไม่เห็นด้วยตามประสาคนอารมณ์ร้อนแน่
“คุณแม่ พี่ใหญ่ต้องไปอยู่ที่แบบนั้นจริงเหรอคะ” ซูตานหงเบี่ยงประเด็นมาถามถึงพี่ชายคนโต
เธอกับซูจิ้นจวินไม่ค่อยสนิทสนมกันนัก เมื่อก่อนเขามักเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้เธอทำงาน พอเจอของอร่อยก็เอาแต่สวาปาม เธอจึงไม่คิดอยากอยู่ใกล้ คนเห็นแก่ตัวอย่างเขาอย่าว่าแต่รู้จักกันเลย แค่ไม่ทะเลาะกันก็นับว่าดีเท่าไรแล้ว
แต่ครั้นจะบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะนอกจากนิสัยขี้เกียจแล้วก็ไม่ได้มีส่วนไหนเลวร้ายมากนัก
“แกไม่ต้องห่วงเรื่องของพี่ใหญ่หรอก น่าเบื่อจะตาย กว่าจะขุดให้ขึ้นมาทำอะไรสักอย่างได้ก็ยากเย็นเหลือเกิน แล้วเขาก็ไม่ได้โผล่หน้ามาให้ฉันเห็นด้วยซ้ำ” คุณแม่ซูถอนหายใจออกมา “แม้แต่พี่สะใภ้ใหญ่ของแกฉันก็ยังไม่เห็นหัวเลย”
แม้สะใภ้ใหญ่ซูจะมีนิสัยแบบนั้น แต่สามีภรรยาทั้งคู่ก็ไม่ใช่ครอบครัวที่ไร้คุณธรรมเสียทีเดียว เพียงแต่สะใภ้ใหญ่ซูเป็นคนเจ้าแผนการที่ละเอียดรอบคอบ ตราบใดที่ได้เงิน หล่อนก็ยินดีที่จะทำงานตอบแทนทั้งนั้น แน่นอนว่าหล่อนต้องได้เก็บเงินไว้ใช้เอง ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมเหนื่อยเพียงนี้
แต่สำหรับลูกชายไม่เอาไหนของนางแล้ว ต่อให้เงินไปเขาก็ไม่ยินยอมที่จะทำงาน ตราบใดที่เขาไม่อดตาย ก็คงได้แต่นอนกินบ้านกินเมืองไปวัน ๆ
แต่ตอนนี้ชีวิตนางสบายขึ้นมากแล้ว คุณแม่ซูจึงไม่คิดสนใจลูกชายคนโตอีก
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้คุณแม่ยังอายุไม่มากนักก็จริง แต่ถ้าวันหน้าแม่แก่ตัวลง เขาจะยังทำตัวแบบนี้ได้อีกเหรอคะ? ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้างานบนภูเขาคงจะยุ่งมาก งั้นพอถึงเวลาก็ให้เขาขึ้นไปทำงานบนภูเขาเถอะค่ะ เขาจะได้เงินค่าจ้างแต่จะไม่ได้อาหาร” ซูตานหงเอ่ย
เธอพูดเช่นนี้ได้ย่อมหมายความว่าเธอคุยกับจี้เจี้ยนอวิ๋นมาก่อนหน้านี้แล้ว ในปีหน้าจี้เจี้ยนอวิ๋นตั้งใจจะขยายเล้าไก่และคอกแกะ อีกทั้งคุณแม่จี้ยังจะปลูกแตงโมและสตรอเบอรี่เพิ่ม ทั้งหมดล้วนเป็นงานที่ต้องใช้แรงงาน แม้พวกเขาจะมีคนงานอยู่สามคนแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ด้วยงานตัดแต่งกิ่งและใบไม้ที่มีอยู่ก็ล้นมือ
คุณแม่ซูนิ่งงันไป “จะดีเหรอ? ถ้าเขาไปก่อเรื่องเข้าจะทำให้เสียการเสียงานเปล่า ๆ”
“จะเป็นอะไรไปล่ะคะ ฉันว่าเขาคงเป็นชาวสวนที่ยกมือไม่ขึ้นด้วยซ้ำ แต่ตอนเขาไปอยู่ที่นั่นฉันจะให้เจี้ยนอวิ๋นฝึกให้เขาออกกำลังเสียหน่อยค่ะ คุณแม่จะได้ไม่ต้องกังวลใจ” ซูตานหงตอบกลับ
เหตุที่เธอกล้าให้ซูจิ้นจวินมาเป็นแรงงานในสวน นั่นเพราะมั่นใจว่าจะรับมือกับอีกฝ่ายได้ คงเป็นการดีที่สุดหากให้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนควบคุม หลังจากนั้นพอเขาเจอเจี้ยนอวิ๋นที่บ้านก็คงจะหวั่นเกรงไม่ต่างอะไรจากหนูที่เจอแมว
คุณแม่ซูอดมองหน้าลูกเขยไม่ได้ คงจะดีหากเขายอมช่วยฝึกฝนลูกชายไม่เอาถ่านของนางให้ดีขึ้นบ้าง
นางจะไม่นึกกังวลได้อย่างไร ตัวนางเองไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร ใจหวังให้ลูกชายทำตัวเป็นผู้เป็นคนบ้างแต่ก็ยังไม่เคยได้เห็นภาพนั้นสักครั้ง!
“อันที่จริงหน่วยก้านของพี่ใหญ่ก็ไม่เลวเลยนะครับ เขาไม่เคยฝึกมาก่อนคงต้องเหนื่อยแน่ ๆ อย่างนั้นผมจะฝึกศิลปะการต่อสู้ให้เขาสักหน่อย เหลือเพียงแค่เขาต้องเรียนรู้เท่านั้น” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับ
“รอคุยเรื่องนี้ตอนที่พวกเขากลับมาแล้วกันค่ะ คุณแม่ช่วยไปบอกพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยนะคะ หล่อนอยากทำงานให้ฉันมานานอยู่แล้ว คงไม่ได้คัดค้านอะไร” ซูตานหงกล่าวขึ้น
คุณแม่ซูพยักหน้ารับ “ถ้าพี่ใหญ่ของแกไม่ยอมทำงานแล้วไปทำให้เสียหายก็ไม่ต้องเกรงใจนะ จัดการให้เขาหลาบจำไปเลย!”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ การจัดการกับพี่ใหญ่ง่ายกว่าการฝึกในสนามรบที่ผมเคยผ่านมาเยอะ ผมจะเป็นคนฝึกให้เองครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ถ้าเธอสั่งสอนเจ้าเด็กคนนั้นให้ดีได้ ฉันจะขอบคุณเธอไปทั้งชีวิตเลยล่ะ!” คุณแม่ซูกล่าวขึ้น
แม้นางจะไม่ได้พูดออกมา ทว่านางก็นึกเป็นห่วงลูกชายไม่เอาไหนของตนอยู่เสมอ ตอนนี้นางยังอยู่ก็ยังพอทำเนาไปได้บ้าง หากนางลาโลกนี้ไป ไม่มีใครหาเลี้ยงแล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน สองสามีภรรยาคงมีหวังได้อดตายกันทั้งคู่
“คุณแม่กังวลเกินไปแล้วนะคะ” ซูตานหงส่งยิ้มให้ก่อนกล่าว “กินอีกหน่อยสิคะ”
“กิน” เหรินเหรินที่นั่งอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียก เขาอ้าปากรอกินส้มมานานแต่ก็ยังไม่มาถึงปากเสียทีพาลให้เด็กน้อยนึกงอแงขึ้นมา
“ได้ กินสิ ยายลืมไปเลย อย่างอนยายเลยนะ” คุณแม่ซูระบายยิ้มพลางบิส้มป้อนหลานชายทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นมา
หลังทานมื้อเที่ยงที่บ้านคุณแม่ซู คู่สามีภรรยาก็ขอตัวกลับบ้านเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว
คุณแม่ซูให้อั่งเปากับเหรินเหรินมา ในขณะที่ทั้งคู่ก็มอบอั่งเปากลับคืนให้อีกฝ่าย
กว่าซูจิ้นจวินและซูจิ้นตั๋งจะกลับมา จี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงก็กลับไปแล้ว
“ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ? ฉันถึงกับเร่งให้จิ้นจวินรีบกลับมาแล้วเชียว” สะใภ้ใหญ่ซูผิดหวังเมื่อได้ยินว่าเธอกลับไปแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น คุณแม่ซูก็ถามสิ่งที่คิดในใจออกมา “เธอมีอะไรเหรอ?”
“คุณแม่ ที่บ้านฉันเองก็ไม่ได้มีงานให้ทำมาก มีแค่ที่ดินผืนเล็ก ๆ ฉันจัดการเองได้ค่ะ แทนที่จะให้จิ้นจวินจะอยู่บ้านไปวัน ๆ ฉันเลยคิดว่าพอจะให้เขาไปทำงานที่นั่นได้ไหมคะ” สะใภ้ใหญ่ซูไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก หล่อนรู้ความสามารถของสามีตัวเองดี แม่สามีเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? หล่อนก็แค่ทำตามน้ำไปเท่านั้น
วันนี้แม่ของหล่อนบอกตอนที่กลับไปหาที่บ้านว่ามีญาติที่ร่ำรวยขนาดนี้ หากไม่ผูกมิตรด้วยก็นับว่าโง่เง่านักไม่ใช่หรือ?
ดูอย่างลูกชายคนรองของบ้านสิ ตอนนี้พวกเขาย้ายไปตั้งรกรากในเมืองและอาจไม่กลับมาอีกแล้ว ไม่เห็นต้องมาจมปลักอยู่ที่นี่เลย ทำไมถึงไม่หัดเรียนรู้บ้าง?
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความคิดของหล่อน ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มาจากแม่ของหล่อนทั้งนั้น
คุณแม่ซูเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “ฉันเองก็อยากให้จิ้นจวินไปทำงานที่นั่นเหมือนกัน แต่เธอก็เห็นสภาพของเจ้านั่น เขาจะไปมีปัญญาทำอะไรได้? อย่าบอกนะว่าจะไปช่วยน่ะ แค่ไม่ทำตัวมีปัญหาก็ดีเท่าไหร่แล้ว ฉันไม่ยอมเสียหน้าเพราะเขาหรอก”
ซ้ำตอนนี้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่จี้ก็ทำงานอยู่บนเขาอีกด้วย
ได้ยินดังนั้นสะใภ้ใหญ่ซูก็รู้ได้ทันทีว่าแม่สามีนั้นไม่เห็นด้วย
“ถ้าเธอเกลี้ยกล่อมจิ้นจวินให้ไปทำงานได้ ฉันก็จะขอให้เจี้ยนอวิ๋นให้โอกาสเขา แต่ถ้าทำไม่ได้ ฉันก็คงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากคัดค้านเรื่องนี้ เธอก็กลับไปเพาะปลูกในแปลงเล็ก ๆ เสียเถอะ อย่าหวังจะได้เงินเดือน 20 หยวนเลย” คุณแม่ซูว่าขึ้น
“ถ้าฉันทำให้จิ้นจวินไปทำงานได้ แล้วจะเก็บเงินเดือนไว้เองได้ไหมคะ?” สะใภ้ใหญ่ซูโพล่งออกมาทันทีที่ได้ยินดังนั้น
“เก็บเอาไว้เองอย่างนั้นเหรอ? เธอเก็บไว้ใช้ส่วนตัวได้แค่ 10 หยวน ส่วนที่เหลือต้องเอามาให้ฉัน” คุณแม่ซูกล่าว
แต่ถึงจะยืนกรานเช่นนั้นสะใภ้ใหญ่ซูก็ยังพึงพอใจ!
เมื่อลองคำนวณบัญชีดูแล้ว หากเก็บเงินได้เดือนละ 10 หยวน ครบ 1 ปีก็จะมีถึง 120 หยวน เงิน 120 หยวนเชียวนะ จะมีสักกี่คนในหมู่บ้านที่มีเงินทองมากมายเช่นนี้กัน!
“ตกลงค่ะ คุณแม่ ฉันจะเคี่ยวเข็ญจิ้นจวินให้ได้ ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ ฉันจะไม่ยอมรามือกับเขาเด็ดขาดค่ะ!” สะใภ้ใหญ่ซูยืนกรานหนักแน่นก่อนกลับไปด้วยท่าทางมุ่งมั่น
“แม่ครับ แม่พูดอะไรกับพี่สะใภ้เหรอครับ? ทำไมกลับมาก็เถียงกันเรื่องพี่ใหญ่เลยล่ะ? วันนี้เป็นวันปีใหม่ใหญ่นะครับ” ซูจิ้นตั๋งเข้ามาถามด้วยความงงงัน
……………………………………………